PwC เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นซีอีโออาเซียนต่อการเติบโตเศรษฐกิจโลก รายได้ปีนี้อยู่ที่ 39% จากปีก่อน 49% เผยกังวลความไม่สงบทางการเมือง ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ด้านความน่าลงทุนไทยยังติด 1 ใน 5 ตลาดน่าลงทุนในสายตาอาเซียน แนะเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการศึกษา
นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจ Global CEO Survey ครั้งที่ 19 ซึ่งสำรวจความคิดเห็นซีอีโอทั่วโลก จำนวน 1,409 ราย ใน 83 ประเทศ พบว่า ความเชื่อมั่นของซีอีโออาเซียนต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ และการเพิ่มขึ้นของรายได้บริษัทในปีนี้ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยผู้นำธุรกิจอาเซียนเพียง 39% เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะดีขึ้นในปีนี้ ปรับตัวลดลงจากปีที่ผ่านมาที่ 49% ถือเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 3 ปี นับจากปี 2556 โดย 3 ปัจจัยหลักที่ซีอีโออาเซียนมองว่า เป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจ และนโยบาย ได้แก่ ความผัวผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความไม่มั่นคงทางสังคม และความไม่สงบทางการเมือง
นอกจากนี้ ในระยะสั้นหลายประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีแผนการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศในปีนี้ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ และไทย แม้จะยังไม่แน่นอนก็ตาม ขณะที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน ยังเตรียมกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 13 ระยะเวลา 5 ปี ระหว่างปี 2559-2563 อีกด้วย ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ซีอีโออาเซียนต่างเฝ้าระวัง และติดตามอย่างใกล้ชิด
ขณะที่ผู้นำธุรกิจอาเซียนเพียง 38% ในปีนี้เชื่อว่า รายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ลดลงจากปีก่อนที่ 47% สำหรับ 3 ปัจจัยที่ซีอีโออาเซียนมองว่า เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของธุรกิจ (Business threats) ได้แก่ การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ (88%) ยังเป็นอุปสรรคลำดับแรกที่ซีอีโออาเซียนกังวล ซึ่งประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายหลายบริษัทในภูมิภาคอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยความต้องการบุคลากรที่มีความสามารถหลากหลายด้าน ทั้งด้านไอที เทคโนโลยี และทักษะเฉพาะทางมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในระยะข้างหน้า เพราะจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้ทัดเทียมสากล ถัดมาคือ การติดสินบน และคอร์รัปชัน (80%) และสุดท้าย คือ การขาดความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจ และการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ (75%)
ไทยยังติด Top 5 น่าลงทุน
นายศิระ กล่าวต่อว่า แม้ว่าภาพรวมความเชื่อมั่นในปีนี้จะดูแย่ แต่ผู้บริหารในภูมิภาคยังคงมีแผนลงทุนตามปกติ โดยผลสำรวจพบว่า 5 อันดับตลาดน่าลงทุนในปีนี้ อันดับที่ 1 ได้แก่ จีน (49%) ซึ่งแม้ปีนี้เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มไม่สดใสนัก แต่จีนถือเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของอาเซียน อันดับที่ 2 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (42%) โดยดูจากกำลังซื้อ และตัวเลขจ้างงานที่ฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมา ส่วนอินโดนีเซีย และเวียดนาม ติดอันดับที่ 3 (19% เท่ากัน) อย่างไม่น่าแปลกใจ เพราะทั้งมูลค่าการลงทุน และอัตราการขยายตัวของภาคธุรกิจของ 2 ประเทศ ประกอบกับอัตราค่าจ้างแรงงานที่ต่ำ และทรัพยากรธรรมชาติที่ยังมีอยู่มาก ทำให้โอกาสในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศยังคงมีสูง ตามด้วยอันดับที่ 4 ได้แก่ อินเดีย (13%) ภายใต้การบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี
สำหรับประเทศไทยนั้นยังติด 1 ใน 5 ตลาดที่น่าลงทุนในสายตาซีอีโออาเซียนในปีนี้ (12%) โดยมีจุดแข็งสำคัญด้านแรงงานที่มีทักษะฝีมือเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และการใช้จ่ายของภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ ผนวกกับไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน ทำให้มีข้อได้เปรียบหลายด้าน โดยเฉพาะการคมนาคม การติดต่อสื่อสาร และการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้ดี อย่างไรก็ดี ไทยก็ไม่ควรชะล่าใจโดยยังมีจุดอ่อนบางเรื่องที่ต้องปรับปรุง เช่น ภาคการผลิตในบางจุดยังมีประสิทธิภาพต่ำ ค่าแรงที่ปรับสูงขึ้น การปรับปรุงคุณภาพการศึกษา การกระจุกตัวของพื้นที่อุตสาหกรรมที่อาจทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ภาระหนี้สินของคนในชนบท และผู้มีรายได้น้อย และการอพยพของแรงงาน เป็นต้น
“ไทยยังน่าลงทุนในสายตาเพื่อนบ้านจากจุดแข็งหลายประการข้างต้น แต่สิ่งที่เราละเลยไม่ได้ คือ ต้องแก้ไขจุดอ่อนหลายๆ ด้านอย่างเร่งด่วน เพื่อไล่ตามอินโดนีเซีย และเวียดนามให้ทัน”