นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันมหาเศรษฐีที่รวยระดับหลายพันล้านส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากผู้หญิงหันมาเป็นเจ้าของกิจการและเข้ามามีบทบาทในระดับบริหาร เทียบเท่ากับผู้ชายมากขึ้น โดยพบว่า สัดส่วนผู้บริหารหญิงในบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ของโลกนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงกิจการครอบครัว (Family Business) ส่วนใหญ่ยังถูกบริหารงานโดยผู้หญิงด้วยเช่นกัน ขณะที่เศรษฐินีเกิดใหม่จากการได้รับมรดกจากบรรพบุรุษก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้สอดคล้องกับผลสำรวจ Billionaires Report : The changing faces of billionaires ซึ่งจัดทำโดย UBS Group AG และ PwC ฉบับล่าสุด ที่ระบุว่า อัตราส่วนการเพิ่มขึ้นของมหาเศรษฐีหญิงในโลกมีสัดส่วนที่สูงกว่าผู้ชาย โดยพบว่า จำนวนเศรษฐีผู้หญิงที่ทำการสำรวจเพิ่มขึ้น 6.6 เท่า ภายในระยะเวลา 20 ปีจาก 22 คนในปี 2538 เป็น 145 คนในปี 2557 ขณะที่จำนวนเศรษฐีผู้ชายเพิ่มขึ้นเพียง 5.2 เท่า โดยจำนวนเศรษฐินีรุ่นใหม่ชาวเอเชียเพิ่มขึ้นรวดเร็วกว่าภูมิภาคอื่น จากข้อมูลพบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอัตราส่วนการเพิ่มขึ้นของมหาเศรษฐีหญิงเอเชียเพิ่มขึ้น 8.3 เท่า หรือจาก 3 คนในปี 2548 เป็น 25 คนในปี 2557 ขณะที่สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเพียง 1.7 เท่าและยุโรปเพิ่มขึ้นเพียง 2.7 เท่า
“ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันผู้หญิงเอเชียมีหัวก้าวหน้ากว่าในอดีต และต้องการที่จะมีกิจการเป็นของตนเอง ส่วนใหญ่คุณผู้หญิงเหล่านี้จะเป็นผู้ที่ไปศึกษาในต่างประเทศ และได้แนวคิดการทำธุรกิจและการบริหารเงินทุนมาปรับใช้ในการก่อร่างสร้างธุรกิจของตัวเอง บางคนก็นำมาต่อยอดธุรกิจครอบครัว จึงไม่น่าแปลกใจที่เรายังพบว่า เศรษฐินีเอเชียกว่าครึ่งหนึ่งเป็นผู้ประกอบการรุ่นแรกหรือ First-generation entrepreneurs ด้วยกันทั้งสิ้น”
สำหรับสัดส่วนของมหาเศรษฐินีที่สร้างฐานะด้วยตนเอง (Self-made billionaires) ในเอเชียมีจำนวนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยหญิงสาวที่สร้างความมั่งคั่งด้วยตัวเองในภูมิภาคนี้มีสัดส่วนมากกว่า 50% ของเศรษฐีพันล้านทั่วโลก ถือเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯที่ 19% และยุโรป 7% โดยผู้หญิงเอเชียส่วนใหญ่ร่ำรวยจากการเข้ามาบริหารธุรกิจครอบครัว (Family Business) และอายุเฉลี่ยของมหาเศรษฐินีเอเชียอยู่ที่ประมาณ 53 ปี น้อยกว่ามหาเศรษฐินีเอเชีย อเมริกาหรือยุโรปเกือบ 10 ปี (มหาเศรษฐินีเอเชียอเมริกาอายุเฉลี่ย 59 ปี และยุโรปอายุเฉลี่ย 65 ปี)
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังระบุว่า 3 กลุ่มธุรกิจที่สร้างความมั่งคั่งให้แก่ผู้หญิงเอเชีย ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) กลุ่มอุตสาหกรรม (Industrials) และสุขภาพ (Health) ขณะที่มหาเศรษฐินีที่รับสืบทอดกิจการมาจากรุ่นพ่อแม่นั้น 72% ยังดำเนินธุรกิจเดิมของครอบครัว แต่ 24% เริ่มขยายธุรกิจไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ได้รับประโยชน์จากอัตราเศรษฐกิจของเอเชียที่เติบโตเพิ่มขึ้น ความมั่งคั่งมีความผันผวน
สำหรับประเทศไทยนั้น ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนมหาเศรษฐีหน้าใหม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน เนื่องจากคนรุ่นใหม่หันมาประกอบธุรกิจส่วนตัว และลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น ขณะที่จำนวนมหาเศรษฐินีของไทยก็เติบโตมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทายาทหญิงที่ได้รับมรดกจากรุ่นพ่อแม่ ขณะที่ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยเข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้บริหารและเจ้าของธุรกิจมากขึ้นแต่ยังไม่สูงเท่าในต่างประเทศ
ทั้งนี้สอดคล้องกับผลสำรวจ Billionaires Report : The changing faces of billionaires ซึ่งจัดทำโดย UBS Group AG และ PwC ฉบับล่าสุด ที่ระบุว่า อัตราส่วนการเพิ่มขึ้นของมหาเศรษฐีหญิงในโลกมีสัดส่วนที่สูงกว่าผู้ชาย โดยพบว่า จำนวนเศรษฐีผู้หญิงที่ทำการสำรวจเพิ่มขึ้น 6.6 เท่า ภายในระยะเวลา 20 ปีจาก 22 คนในปี 2538 เป็น 145 คนในปี 2557 ขณะที่จำนวนเศรษฐีผู้ชายเพิ่มขึ้นเพียง 5.2 เท่า โดยจำนวนเศรษฐินีรุ่นใหม่ชาวเอเชียเพิ่มขึ้นรวดเร็วกว่าภูมิภาคอื่น จากข้อมูลพบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอัตราส่วนการเพิ่มขึ้นของมหาเศรษฐีหญิงเอเชียเพิ่มขึ้น 8.3 เท่า หรือจาก 3 คนในปี 2548 เป็น 25 คนในปี 2557 ขณะที่สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเพียง 1.7 เท่าและยุโรปเพิ่มขึ้นเพียง 2.7 เท่า
“ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันผู้หญิงเอเชียมีหัวก้าวหน้ากว่าในอดีต และต้องการที่จะมีกิจการเป็นของตนเอง ส่วนใหญ่คุณผู้หญิงเหล่านี้จะเป็นผู้ที่ไปศึกษาในต่างประเทศ และได้แนวคิดการทำธุรกิจและการบริหารเงินทุนมาปรับใช้ในการก่อร่างสร้างธุรกิจของตัวเอง บางคนก็นำมาต่อยอดธุรกิจครอบครัว จึงไม่น่าแปลกใจที่เรายังพบว่า เศรษฐินีเอเชียกว่าครึ่งหนึ่งเป็นผู้ประกอบการรุ่นแรกหรือ First-generation entrepreneurs ด้วยกันทั้งสิ้น”
สำหรับสัดส่วนของมหาเศรษฐินีที่สร้างฐานะด้วยตนเอง (Self-made billionaires) ในเอเชียมีจำนวนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยหญิงสาวที่สร้างความมั่งคั่งด้วยตัวเองในภูมิภาคนี้มีสัดส่วนมากกว่า 50% ของเศรษฐีพันล้านทั่วโลก ถือเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯที่ 19% และยุโรป 7% โดยผู้หญิงเอเชียส่วนใหญ่ร่ำรวยจากการเข้ามาบริหารธุรกิจครอบครัว (Family Business) และอายุเฉลี่ยของมหาเศรษฐินีเอเชียอยู่ที่ประมาณ 53 ปี น้อยกว่ามหาเศรษฐินีเอเชีย อเมริกาหรือยุโรปเกือบ 10 ปี (มหาเศรษฐินีเอเชียอเมริกาอายุเฉลี่ย 59 ปี และยุโรปอายุเฉลี่ย 65 ปี)
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังระบุว่า 3 กลุ่มธุรกิจที่สร้างความมั่งคั่งให้แก่ผู้หญิงเอเชีย ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) กลุ่มอุตสาหกรรม (Industrials) และสุขภาพ (Health) ขณะที่มหาเศรษฐินีที่รับสืบทอดกิจการมาจากรุ่นพ่อแม่นั้น 72% ยังดำเนินธุรกิจเดิมของครอบครัว แต่ 24% เริ่มขยายธุรกิจไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ได้รับประโยชน์จากอัตราเศรษฐกิจของเอเชียที่เติบโตเพิ่มขึ้น ความมั่งคั่งมีความผันผวน
สำหรับประเทศไทยนั้น ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนมหาเศรษฐีหน้าใหม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน เนื่องจากคนรุ่นใหม่หันมาประกอบธุรกิจส่วนตัว และลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น ขณะที่จำนวนมหาเศรษฐินีของไทยก็เติบโตมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทายาทหญิงที่ได้รับมรดกจากรุ่นพ่อแม่ ขณะที่ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยเข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้บริหารและเจ้าของธุรกิจมากขึ้นแต่ยังไม่สูงเท่าในต่างประเทศ