PwC เผยผลสำรวจธุรกิจเอสเอ็มอีทั่วโลกยังมีความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานต่ำ แถมต้นทุนเงินกู้สูงกว่าบริษัทขนาดใหญ่ อาจประสบปัญหาสภาพคล่องในอนาคตได้ ห่วงเอสเอ็มอีไทยส่วนใหญ่ยังขาดสภาพคล่อง เหตุเศรษฐกิจชะลอตัว ทุน-รายได้หด
นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วนบริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงาน Bridging the Gap - 2015 Annual Global Working Capital Survey ที่ทำการสำรวจงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนชั้นนำ จำนวน 10,215 บริษัททั่วโลกว่า บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาการขาดความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน โดยพบว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียนสุทธิของบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม ในปี 2557 อยู่ที่ระดับ 20.8% เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ที่ระดับ 18.5% สะท้อนให้เห็นว่า บริษัทยังไม่สามารถบริหารกระแสเงินสดให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ดีนัก ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น นโยบายในการบริหารงาน เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังพบอีกว่าเอเชียมีอัตราการเติบโตของทุนหมุนเวียนสูงขึ้นจากระดับ 26% เป็น 33% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเปลี่ยนขั้วอำนาจเศรษฐกิจของโลก จากฝั่งตะวันตกมายังตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่ถือเป็นแนวโน้มหลักที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลกระทบให้ช่วงที่ผ่านมา เงินทุนไหลเข้ามาในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น แต่กลับพบว่าประสิทธิภาพการบริหารจัดการเงินทุนของบริษัทในเอเชียยังต่ำ สะท้อนจากความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานอยู่ที่ 73.8% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นทั่วโลก ขณะที่อีบิทด้า มาร์จิ้น (EBITDA Margin) อยู่ที่ 11.9% เท่านั้น ดังนั้น ในเรื่องจึงถือเป็นเรื่องที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียต้องปรับปรุง
นายศิระ กล่าวอีกว่า เมื่อกลับมาพิจารณาบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมในไทย สถานการณ์ตอนนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงเช่นกัน เพราะสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศหดตัวตามไปด้วย และมูลค่าการส่งออกก็แทบไม่เติบโต หรืออาจลดลงเช่นเดียวกัน ขณะที่ฐานทุนของเอสเอ็มอีไทยนั้นค่อนข้างจำกัด และมีต้นทุนสูงกว่า ทำให้การบริหารเงินทุนหมุนเวียนคล่องตัวน้อยกว่าบริษัทขนาดใหญ่ แม้ว่าภาครัฐจะพยายามออกมาตรการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ เช่น การปล่อยสินเชื่อ แต่มองว่าไม่อาจให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการได้ครอบคลุมทั้งประเทศ
ทั้งนี้ หากพิจารณาสถานการณ์ของธุรกิจเอสเอ็มอีในประเทศไทยในปีนี้ถือว่าแนวโน้มชะลอตัว ตัวเลขดัชนีหลายๆ ตัวส่งสัญญาณไม่ดีนัก ขณะที่การจัดตั้งกิจการใหม่ของธุรกิจเอสเอ็มอีอยู่ที่ 4,523 ราย ลดลง 1.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่การยกเลิกกิจการกลับมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 17.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือมีการบอกเลิกกิจการทั้งสิ้น จำนวน 977 ราย โดยมองว่าสถานการณ์โดยรวมของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในช่วงที่เหลือของปีนี้ไม่น่าจะแตกต่างจากช่วงครึ่งปีแรกมากนัก
“ธุรกิจเอสเอ็มอีไทยส่วนใหญ่ยังขาดแบบแผนการบริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการจัดทำงบการเงินที่ได้มาตรฐาน ซึ่งตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน เนื่องจากงบการเงินจะช่วยให้ผู้ประกอบการเห็นรายรับ รายจ่าย รู้ความเคลื่อนไหวของกระแสเงินสดของกิจการได้ชัดเจนมากขึ้น จึงทำให้สามารถวางแผนบริหารกระแสเงินสด และเงินทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่ถือเป็นรากฐานช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืนในระยะยาว”