PwC คาดอีก 5-10 ปีมหาเศรษฐีพันล้านในเอเชียจะแซงหน้าอเมริกาและยุโรป หลังการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกมาอยู่ฝั่งตะวันออก โดยอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภคจะเป็นแหล่งสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งของคนในภูมิภาคนี้ พร้อมมองมหาเศรษฐีเกิดใหม่ของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน หลังเจนวายและ Startup หน้าใหม่หันมาลงทุนสร้างความมั่งคั่งผ่านตลาดหุ้นมากขึ้น แนะปลูกฝังความรู้ทางการเงินควบคู่ไปกับการสร้างความมั่งคั่งเพื่อให้ตลาดทุนไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่า ในอีก 5-10 ปีจำนวนมหาเศรษฐีในเอเชียจะแซงหน้าสหรัฐอเมริกา ส่วนหนึ่งเพราะการเปลี่ยนขั้วอำนาจเศรษฐกิจของโลกมาเป็น ‘บูรพาภิวัฒน์’ ถือเป็นหนึ่งในกระแส ‘เมกะเทรนด์’ ที่จะทำให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะในฝั่งเอเชีย ขณะที่ศูนย์กลางอำนาจทางการเงินที่เริ่มย้ายฐานมาทวีปนี้ ประกอบกับจำนวนชนชั้นกลางที่มากขึ้น อำนาจในการใช้จ่ายของผู้คนในภูมิภาคก็มากขึ้นตามไปด้วย และทำให้นักธุรกิจฝั่งเอเชียเริ่มหันมาตั้งต้นธุรกิจและสร้างฐานะความมั่งคั่งด้วยตนเอง จากการทำธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภค-บริโภค และรองลงมาคือ เทคโนโลยี และไอที
ทั้งนี้ สอดคล้องกับผลสำรวจ Billionaires : Master architects of great wealth and lasting legacies ประจำปี 2558 ซึ่งจัดทำโดย UBS AG และ PwC ที่ผ่านมาซึ่งพบว่า สัดส่วนของมหาเศรษฐีที่สร้างฐานะด้วยตนเอง (Self-made billionaires) ในเอเชียได้มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเอเชียเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนของมหาเศรษฐีที่สร้างความมั่งคั่งด้วยตัวเองสูงถึง 36% ของเศรษฐีพันล้านทั่วโลก นอกจากนี้ มหาเศรษฐีในภูมิภาคนี้ถึง 25% ยังเติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจน ถือเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ ที่ 8% และยุโรปเพียง 6% ขณะที่อายุเฉลี่ยของเศรษฐีระดับพันล้านชาวเอเชียก็น้อยกว่ามหาเศรษฐีจากสองทวีปถึง 10 ปี โดยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 57 ปี
“เราเห็นเทรนด์ของคนหนุ่ม-สาวที่กลายมาเป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่กันตั้งแต่อายุยังน้อยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย โดยเด็กสมัยนี้หันมาเริ่มต้นทำธุรกิจหรือลงทุนกันตั้งแต่จบทำงานใหม่ๆ และส่วนใหญ่ไม่ได้เติบโตมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย จึงไม่น่าแปลกใจที่อายุเฉลี่ยของมหาเศรษฐีในเอเชียจะน้อยกว่าฝั่งอเมริกาหรือยุโรปถึง 10 ปี”
อย่างไรก็ดี ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ จำนวนเศรษฐีใหม่ในจีนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จากผลสำรวจดังกล่าวพบว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 นี้มีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นในจีนแทบทุกสัปดาห์ โดยนายศิระมองว่า ส่วนหนึ่งเพราะประชากรจีนหันมาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา หลังจากที่รัฐบาลจีนปฏิรูปตลาดทุนในประเทศ ส่งผลให้ชาวจีนหันมาเล่นหุ้นเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยเพียง 5 เดือนแรกของปีนี้มีบัญชีหุ้นเปิดใหม่ทะลุ 30 ล้านบัญชี แต่นักลงทุนซึ่งเป็นรายย่อยส่วนใหญ่กลับกลายเป็นนักเรียนมัธยมที่ยังขาดความรู้ ความเข้าใจในการลงทุนอย่างแท้จริง และกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนประสบกับภาวะฟองสบู่
สำหรับประเทศไทย นายศิระกล่าวว่า เศรษฐีหน้าใหม่มีแนวโน้มเกิดขึ้นมากเช่นกัน หลังจากที่เด็กรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเจนวาย (Gen Y) หันมาลงทุนสร้างความมั่งคั่ง (Wealth generation) ผ่านตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น กระแสที่ต้องการ ‘รวยด้วยตัวเอง’ หรือ ‘รวยทางลัด’ โดยไม่ต้องอาศัยทำงานในออฟฟิศ ประกอบกับความนิยมในตัวนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ มั่งคั่งตั้งแต่อายุยังน้อย ตลาดหุ้นไทยจึงกลายเป็นแหล่งที่คนรุ่นใหม่เข้ามาแสวงหาความมั่งคั่ง อย่างไรก็ตาม มองว่าสิ่งที่ต้องปลูกฝังควบคู่ไปกับการสร้างความมั่งคั่งคือ ความรู้ทางการเงิน (Financial literacy) เพื่อสร้างความมั่งคั่ง การบริหารจัดการความเสี่ยงจากการลงทุน และการเติบโตของตลาดทุนไทยที่ยั่งยืน
“นอกจากความมั่งคั่งที่สร้างจากการลงทุนในหุ้นแล้ว เทรนด์ของการตั้งธุรกิจใหม่หรือสตาร์ทอัพในบ้านเรามีให้เห็นกันมากขึ้น เด็กยุคใหม่โดยเฉพาะเจนวายมีทัศนคติในการทำงานที่แตกต่างจากคนในเจนอื่นๆ เด็กกลุ่มนี้อยากจะมีกิจการเป็นของตนเอง อยากจะสร้างความสำเร็จด้วยมันสมองและฝีมือของตน บางรายเรียนจบแล้วก็หุ้นกับเพื่อนฝูงตั้งบริษัท บางรายก็อาจจะเริ่มทำงานเป็นพนักงานบริษัทก่อนสักสองถึงสามปี แล้วนำประสบการณ์มาดัดแปลงสร้างธุรกิจของตน ทำให้คนไทยรุ่นใหม่ๆ มั่งคั่งตั้งแต่อายุยังน้อย” นายศิระกล่าว
“สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ควบคู่ไปกับการสร้าง Wealth คือการวางแผนการลงทุน และรู้จักบริหารความเสี่ยง ต้องเข้าใจประโยชน์ที่แท้จริงของการออม และมองที่ผลตอบแทนในระยะยาว” นายศิระกล่าว
คุณลักษณะ 3 ประการของมหาเศรษฐีรุ่นใหม่
นายศิระกล่าวต่อว่า คุณลักษณะ 3 ประการที่มหาเศรษฐีรุ่นใหม่มีคล้ายคลึงกัน และเปรียบเสมือนเป็นดีเอ็นเอของคนกลุ่มนี้ อ้างอิงจากข้อมูลของผลสำรวจที่ผ่านมา ประกอบด้วย
1.บริหารความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด เศรษฐีรุ่นใหม่ซึ่งสร้างฐานะด้วยตนเองมักมองความเสี่ยงเป็นเรื่องของความท้าทาย และมีวิธีบริหารจัดการหรือถ่ายโอนความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด คนเหล่านี้มีความมุ่งมั่น มองการลงทุนแบบรอบด้านทั้งในแง่บวกและลบ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ในทางลบก็พร้อมที่จะแก้ไขปัญหาบนพื้นฐานของความเป็นจริง นอกจากนี้ยังสามารถฟื้นตัวจากความล้มเหลวได้อย่างรวดเร็ว
2.มีโฟกัสในการทำธุรกิจอย่างแรงกล้า สิ่งที่บรรดาเศรษฐีเหล่านี้มีเหมือนกันอีกประการคือ ความสนใจใคร่รู้ มีโฟกัสในการทำงานสูง อีกทั้งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจหรือช่องทางในการทำกำไรใหม่ๆ อยู่เป็นประจำ บ่อยครั้งที่เศรษฐีเหล่านี้ยังมีความสามารถในการมองหาโอกาสรอบตัวจากสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น มีความช่างสงสัยในมุมมองที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ซึ่งความช่างสงสัยนี้เองที่เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้พวกเขาสามารถมองทะลุเข้าไปถึงความต้องการของผู้บริโภคและตัดสินใจเรื่องต่างๆ ทางธุรกิจได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ พวกเขายังสามารถควบคุมตัวเอง ไม่ให้ใช้อารมณ์เข้ามาประกอบการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจได้ดีเยี่ยม
3.มีความมุ่งมั่น มองวิกฤตคือโอกาส คุณสมบัติข้อสุดท้ายคือ จริยธรรมและวินัยในการทำงาน มหาเศรษฐีพวกนี้มองปัญหาและอุปสรรคไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป เศรษฐีที่ก่อร่างสร้างตัวเองมาด้วยตนเองไม่จมปลักอยู่กับความล้มเหลวหรือผลขาดทุน แต่มองความผิดพลาดเป็นบทเรียน เรียนรู้จะปรับตัว ปรับรูปแบบทางธุรกิจให้มีความยืดหยุ่น ไม่ยึดติดอยู่กับอดีต แต่มุ่งมั่นที่จะเดินไปให้ถึงเป้าหมายของการสร้างความมั่งคั่ง และไม่รีรอที่จะเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส และไม่กลัวต่อการสูญเสียหรือพ่ายแพ้
“นอกเหนือจากการสร้างฐานะเพื่อความมั่งคั่งของตัวเองแล้ว มหาเศรษฐียุคใหม่ยังให้ความสำคัญต่อการตอบแทนสู่สังคมมากขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วย ซึ่งชี้ให้เห็นว่าตอนนี้คนรวยไม่ได้มองแค่การตักตวงผลประโยชน์ หรือหาเงินเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองเท่านั้น แต่ยังมีจิตสาธารณะต่อสิ่งแวดล้อม หรือสังคมที่เขาทำธุรกิจอยู่ด้วย” นายศิระกล่าวทิ้งท้าย