รมว.คลัง มั่นใจโครงการลงทุนขนาดใหญ่กว่า 9 แสนล้าน เซ็นได้ทั้งหมดในปีนี้ รองนายกฯ ย้ำการร่วมทุนรถไฟไทย-จีน ไม่มีเปลี่ยนแปลง ลั่นตอนนี้ feedback ค่อนข้างดี รบ.ได้เตรียมตัวมาพอสมควรแล้ว ไม่อยากให้ตื่นตกใจไปกับ ศก.โลกเท่าไรนัก
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การขับเคลื่อนการใช้จ่ายของภาครัฐตามโครงการต่างๆ ถือว่ามีความคืบหน้าไปพอสมควร และได้เร่งรัดให้การทำสัญญาจะต้องเกิดขึ้นภายในไตรมาสแรกของปีนี้ หรืออย่างช้าไม่เกินครึ่งปีแรก เพื่อให้เม็ดเงินสามารถไหลลงสู่ระบบได้เร็วที่สุด
“ค่อนข้างมั่นใจว่าโครงการทั้งในส่วนของทางหลวง รถไฟทางคู่ การพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิ จะได้เห็นอย่างแน่นอนในปีนี้ แต่น้ำหนักของเงินจะไปอยู่ในครึ่งปีหลังเป็นส่วนใหญ่ ก็จะเร่งรัดโครงการอื่นๆ ทั้งโครงการของมหาดไทย ให้เร่งขึ้นมาในไตรมาส 2 เป็นอย่างช้า เพื่อให้เกิดความสมดุลของเงินที่จะลงไปสู่ระบบ” นายสมคิด กล่าว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ราว 3.5% นั้น ตนเองไม่ได้ให้ความสำคัญต่อตัวเลข GDP มากนัก สิ่งสำคัญคือ โครงการที่ตั้งเป้าไว้ต้องเดินไปข้างหน้าได้ทุกโครงการ ทีมเศรษฐกิจได้เข้ามาเพื่อช่วยไม่ให้เศรษฐกิจทรุดต่ำไปอีก และพยายามประคองให้ผ่านพ้นช่วงที่เศรษฐกิจโลกไม่ดีไปให้ได้อย่างปลอดภัย และวางรากฐานต่อๆ ไปไว้
“ตอนนี้ feedback ค่อนข้างดี เราเตรียมตัวมาพอสมควรแล้ว ไม่อยากให้ตื่นตกใจไปต่อเศรษฐกิจโลกเท่าไร ดีกว่าที่เราไม่ได้เตรียมอะไรเลย นี่เราเตรียมแล้ว และเร่งให้มันเกิด คิดว่าน่าจะทำได้ด้วยดี” นายสมคิด กล่าว
โดยวันที่ 28 ม.ค.นี้ นายอภิศักดิ์ ตันตัวรวงศ์ รมว.คลัง และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม จะเดินทางไปประเทศจีน เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนในส่วนประเด็นที่ยังค้างอยู่สำหรับโครงการลงทุนก่อสร้างรถไฟ สายหนองคาย-กรุงเทพฯ โดยยืนยันว่าจะมีการร่วมลงทุนระหว่างไทยกับจีนเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
“เส้นรถไฟหนองคาย-กรุงเทพฯ เป็นเส้นที่เราจะทำกับจีนแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นเราต้องการจะสรุปข้อที่ยังแตกต่างอยู่ให้เร็วเพื่อที่จะได้เริ่มต้นโครงการกันได้เร็ว ไม่มีโครงการไหนเปลี่ยนแปลง” นายสมคิด กล่าว
ด้าน นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ในการประชุมขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนนั้น ในส่วนที่มีความคืบหน้าของภาครัฐ คือ การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการของกระทรวงคมนาคม โดยมีการประเมินว่าในปีนี้จะมีโครงการที่สามารถเซ็นสัญญาได้กว่า 9 แสนล้านบาท
โดยในส่วนของโครงการที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีก่อน ทั้งทางหลวง รถไฟทางคู่ สนามบินสุวรรณภูมิ และท่าเรือแหลมฉบัง ทั้งหมดนั้นคาดว่าในปีนี้จะสามารถเบิกเงินงบประมาณได้ราว 66,800 ล้านบาท ซึ่งจะเติมเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้ ยังไม่รวมโครงการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่ ครม.มีมติอนุมัติไป 15,000 ล้านบาทเมื่อสัปดาห์ก่อน และโครงการลงทุนของหน่วยงานอื่นๆ
สำหรับการลงทุนในส่วนของภาคเอกชนนั้น ตามที่รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นโดยการให้สิทธิประโยชน์ในการลงทุนผ่านบีโอไอไปแล้วนั้น มีการประเมินว่ามาตรการนี้จะทำให้ภาคเอกชนมีการลงทุนภายในปีนี้ถึง 7 แสนล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 2 แสนล้านบาท จากปกติที่ภาคเอกชนมีการลงทุนในแต่ละปีประมาณ 5 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นตัวเสริมทำให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้มีการหารือถึงการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณในภาพรวม ซึ่งถือว่ามีความคืบหน้าในการเบิกจ่ายค่อนข้างดี โดยเฉพาะโครงการขนาดเล็กที่วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท ที่มีการเบิกจ่ายไปแล้วถึงกว่า 90%
“จะเห็นว่ามาตรการทั้งหมดที่เราเดินมาอยู่ในวิสัยที่ค่อนข้างดี และมีการขับเคลื่อนได้ตามแผน อันไหนที่ยังช้ากว่าแผนท่านรองนายกฯ ก็กำชับให้แต่ละหน่วยงานกลับไปดู โดยเน้นว่าช่วงนี้ ข้าราชการ และทุกหน่วยงานต้องเร่งขึ้นมา เพราะเราทราบกันแล้วว่าสถานการณ์ต่างประเทศมีความไม่แน่นอนสูง ฉะนั้นเราต้องดูแลตัวเอง ทำให้ตัวเราเข้มแข็ง ไม่ว่าที่อื่นจะเกิดอะไรขึ้นเราต้องสามารถดูแลตัวเองได้ก่อน” นายอภิศักดิ์ กล่าวสรุป