… ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมในช่วง2เดือนสุดท้ยของปี2558 ที่ผ่านมา ได้รับการคาดหมายว่าจะกลับมาขยายตัวได้ดี อีกครั้งหลังรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นด้านภาษี โดยให้ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงท่ตรกี่ดังกล่าวจะได้รับการลดหน่อยค่าธรรมเนียมการโอน ค่าจดจำนอง แต่ภาพที่ปรากฎออกมากลับไม่เป็นไปตามที่มีการการณ์ไว้ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวจะหมดอายุลงในเดือนเมษายน 2559 ทำให้ในช่วง2เดือนสุดท้ายของปีที่ผ่านมาผู้ซื้อที่อยู่อาศัยยังไม่มีการเร่งโอนมาเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม ตลาดในปี2559นี้ตลาดอสังหาฯถูกคาดหมายว่าจะกลับมาขยายตัวได้ดีกว่าในปีที่ผ่านมา เพราะมีปัจจัยบวกทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวดีกว่าปีก่อนหน้า ประกอบกับมาตรการกระตุ้นอสังหาฯจากภาครัฐ และอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญซึ่งจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้กลับมา ส่วนปัจจัยลบที่ยังคงเป็นปัญหาและสร้างความกังวลแก่ตลาด คือ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดีหากสินค้าใหม่ที่เข้าสู่ตลาดมีความชัดเจน ทั้งในด้านกลุ่มเป้าหมาย และราคาที่เหมาะสม และตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้อย่างแท้จริง เชื่อว่าจะยังสามารถทำยอดขายได้ต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การเร่งระบายสต็อกของกลุ่มผู้ประกอบการคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับกลาง-บนราคา3-5ล้านบาทในแนวรถไฟฟ้า ซึ่งในช่วงต้นปีหรือ 4เดือนแรกของปีนี้ จะทำให้เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรงเกิดขึ้น สังเกตุได้จากการแข่งขันด้านแคมเปญ และการหั่นราคาขายเพื่อจูงใจให้ลูกค้าเร่งโอนในช่วงก่อนหมดมาตรการกระตุ้นอสังหาฯของภาครัฐ ทำให้ในช่วง4เดือนแรกของปีนี้ตลาดเป็นของผู้บริโภคอย่างแท้จริง และหากในช่วงดังกล่าวผู้ประกอบการสามารถระบายสต็อกในมือออกได้เยอะก็จะทำให้ตลาดอสังหาฯ กลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในช่วงปลายปี จากการเปิดตัวโครงการใหม่รองรับความต้องการลูกค้าในช่วงปลายปี2559 นี้
จากแนวโน้มดังกล่าว “ชัยรัตน์ ธรรมพีร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทพรีบิลท์ จำกัด (มหาชน)ได้แสดงทัศนะว่า ยังคงเชื่อมั่นว่าตลาดในปัจจุบันและในอนาคต ยังคงเป็นตลาดของที่อยู่อาศัยประเภทห้องชุดในแนวรถไฟฟ้า แม้ว่าปีที่ผ่านมาตลาดคอนโดฯจะหดตัวลง จากปัญหากำลังซื้อลูกค้าตก
...ถามว่าการหดตัวของตลาดคอนโดมิเนียมในปี2558 “บิวท์แลนด์” ได้รับผลกระทบอย่างไร ...?
นั้น ผมบอกเลยว่าผลกระทบที่เกิดกับบรัทถือว่าน้อยมาก เพราะโครงการของบริษัทตั้งอยู่ในแนวรถไฟฟ้าเกือบทั้งหมด โดยในด้านยอดขายนั้น แม้จะไม่รวมเร็วเหมือนกับปีที่ผ่านๆมา แต่ก็สามารถขายได้เลื่อยๆ แม้ว่าจะมีปรับราคาขายของห้องชุดในโครงการขยับสูงขึ้นก็ตาม ส่วนสาเหตุที่เรามีการปรับราคาขายขึ้นเพราะราคาที่ดินในพื้นที่โครงการขยับสูงขึ้นทุกวัน เช่นในโครงการเทมโป้แกรนด์ วุฒากาศ ราคาขายโครงการใหม่ในโซนนั้นขยับสูงขึ้นค่อนข้างมาก โดยในส่วนของเทมโป้แกรนด์นั้น ปรับขึ้นไปแล้ว 20% จากราคาขายเมื่อเปิดตัว แต่ลูกค้าก็ยังเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมียอดขายแล้ว 80% ขณะเดียวกันบริษัทเองก็ยังไม่เร่งการขายเพราะมองว่าห้องชุดในโครงการดังกล่าวยังทำราคาได้สูงกว่าในขณะนี้
...ปี2558คอนโดฯหดตัวแรง “บิวท์แลนด์”ปรับตัวอย่างไร ..?
...สิ่งสำคัญ ในการปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ตลาดในปีที่ผ่านมา คือ 1.การคุมต้นทุนเพื่อรักษากะแสเงินสดและสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่ดี งบประมาณ และค่าใช้จ่ายในส่วนไหนที่ไม่จำเป็นต้องตัดออก ขณะเดียวกันในการบริหารบุคคลากรก็เป็นส่วนหนึ่งที่ต้องให้น้ำหนัก และต้องใช้งานบุคคลากรอย่างเต็มศักยภาพ 2.การดำเนินงานหรือธุรกิจในปีที่ผ่านมานั้น บิวท์แลนด์ ค่อนข้างมีความระมัดระวังสูง โดยการชะลอการพัฒนาดครงการเพื่อรอจังหวะ และโอกาสที่ตลาดมีความเหมาะสม เพราะต้องรักษากระแสเงินสดให้อยู่ในระดับที่ดี ทำให้ ณ ปัจจุบันบริษัทมีสภาพคล่องอยู่หลายร้อยล้านบาท ซึ่งจะสามารถรองรับปัญหาหรือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 3.ระมัดระวังในการลงทุน เช่นในการซื้อที่ดินนั้น จะต้องระมัดระวังไว้ให้มากเพราะไม่สามารถซื้อแล้วเก็บไว้ได้นาน เพราะจะทำให้เงินจม
...ในปีที่แล้ว “บิวท์แลนด์” มีการลงทุนโครงการใหม่จำนวนกี่โครงการ..?
...ปีที่ผ่านมาเราลงทุนเปิดโครงการใหม่ไป2โครงการ คือ โครงการ เวสโต้ ในซอยสุขุมวิท 113 เป็นโครงการคอนโดมิเนียม 4อาคาร จำนวน780 ยูนิต มูลค่า 1,000 ล้านบาท และโครงการเทมโป้ควอส สะพานใหม่ เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 1อาคาร จำนวน135ยูนิต มูลค่าขาย280ล้านบาท ซึ่งทั้ง2โครงการอยู่ระหว่างการขาย
ส่วนในปีนี้ “บิวท์แลนด์” มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่1โครงการ เป็นโครงการแนวราบแบบผสม ระหว่างบ้านทาวน์เฮ้าส์ กับบ้านแฝด ภายใต้แบรนด์ลีโม ไทรน้อย จำนวน400ยูนิตมูลค่า800ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ “บิวท์แลนด์” มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายในมือรวม 5โครงการในปี2559 คือ โครงการเทมโป้แกรนด์วุฒากาส โครงการ เวสโต้ ในซอยสุขุมวิท 113 โครงการเทมโป้ควอส สะพานใหม่ โครงการเทมโป้ รามคำแหง และโครงการลีโม ไทรน้อย โดยโครงการล่าสุดจะเปิดขายในช่วงเดือนมีนาคมนี้
...ภาพรวมของยอดขายและรายได้รับรู้ของปี2558 เป็นอย่างไร..?
...โดยภาพรวมแล้วในปีที่ผ่านมา “บิวท์แลนด์” ยังมีผลการดำเนินงาน ทั้งในส่วนของยอดขายและรายได้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยสามารถทำยอดขายในโครงการเทมโป้รามคำแหงได้50% หรือกว่า120ล้านบาท และโครงการเทมโป้ วุฒากาส 80% ทำให้มียอดขายรวม1,000ล้านบาท และรายได้รวมที่ 280ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในปี2558 ที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรจากการดำเนินธุรกิจไม่ดีนัก เนื่องจากมียอดโอนค่อนข้างน้อย เนื่องจากงานก่อสร้างโครงการจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปี2559 ซึ่งจะทำให้ในปีนี้ บริษัทจะมีผลกำไรที่ดีมากๆ ขณะเดียวกันก็มีค่าใช้จ่ายจากการทำตลอด และการประชาสัมพันธ์เกิดขึ้นและลงบุ๊กค่าใช้จ่ายในปี2558ทำให้กำไรของปี2558ไม่ดีนัก
อย่างไรก็ตาม ในปี2559 “บิวท์ แลนด์” มั่นใจว่าจะเป็นอีกปีหนึ่งที่ มีผลกำไร และยอดขายที่ดี โดยในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวมที่ 1,500ล้านบาท และมียอดโอน1,800ล้านบาท เติบโตจากปี2558ที่ผ่านมากว่า 700% ..สาเหตุที่เรามั่นใจว่าในปีนี้ บริษัทจำมียอดขายและกำไรที่ดี เนื่องจากในปีนี้ตลาดจะกลับมาขยายตัวได้มากกว่าปีที่ผ่านมา จากแรงหนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจและมาตรการรัฐที่จะเข้ามาหนุนให้ยอดขายและยอดโอนในปีนี้ขยายตัวสูง โดยเฉพาะในช่วงต้นปีที่จะมีการเร่งโอนเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถบุ๊กรายได้เข้ามาจำนวนมาก จากโครงการที่สร้างแล้วเสร็จในช่วงต้นปี
...ในปี2559 “บิวท์แลนด์” มีการเตรียมความพร้อมด้านการลงทุนอย่างไร..?
...ในปีนี้ จะเป้นอีกปีหนึ่งที่บริษัทจะเร่งซื้อที่ดินสะสมรอการพัฒนาเข้ามาในมือ เพิ่มอีก2-3 แปลง โดยใช้เงินสดที่สะสมไว้ในช่วงก่อนหน้านี้ซื้อเข้ามา โดยที่ดินที่จะซื้อเข้ามาใหม่นั้น บริษัทยังคงโฟกัสไปที่ที่ดินในแนวรถไฟฟ้าเหมาะแก่การพัฒนาโครงการอาคารชุด เพราะเชื่อมั่นว่าตลาดในอนาคตยังคงเป้นตลาดของโครงการคอนโดมิเนียม เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาสัยของคนทำงานรุ่นใหม่ที่นิยมการอยู่อาสัยในแนวรถไฟฟ้า ซึ่งสามารถเดินทางเข้าสู่แหล่งงานและเมืองได้สะดวกสบาย
สำหรับกลยุทธ์ในการทำตลาดกับลูกค้ากลุ่มดังกล่าวยังคงเป็นกลยุทธ์เดิมๆ คือ การเน้นการพัฒนาโครงการในทำเลแนวรถไฟฟ้าที่มีราคาเหมาะสมกับกำลังซื้อกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก ดังนั้นในการเลือกซื้อที่ดินสะสมรอการพัฒนาโครงการใหม่ๆ จึงต้องเจาะจงในการเลือกทำเลให้มากขึ้น โดยทำเลที่เลือกซื้อจะต้องอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าไม่เกิน 300 เมตร เพื่อทำราคาขายให้อยู่ในระดับไม่เกิน 100,000บาทต่อตารางเมตร หรือหากทำเลอยู่ห่างออกไปก็ต้องทำราคาขายไม่เกิน 80,000 บาทต่อตารางเมตร
...ปัญหา และสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องระมัดระวังในปี2559 มีอะไรบ้าง ..?
...ปัญหาในปีนี้ ที่ผู้ประกอบการคอนโดมิเนียมต้องระมัดระวังอย่างมากคือ การปรับตัวของราคาที่ดิน ซึ่งมีการปรับตัวสูงอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ขณะเดียวกันก็ต้องระวังในเรื่องของการปรับตัวของราคาวัสดุก่อสร้าง และการขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง เนื่องจากในปี 2559 จะเป็นปีที่โครงการต่างๆของภาครัฐที่ประกาศลงทุนไปในปีนี้ที่ผ่านมาจะเริ่มงานก่อสร้างได้จริงในปีนี้ ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้โครงการภาครัฐมีการดูดซับเอาแรงงานในระบบเข้าสูงโครงการภาครัฐจำนวนมาก ส่งผลให้ค่าแรงมีการปรับตัวสูงขึ้น และความต้องการแรงงานสูงขึ้น
นอกจากปัญหาการดูดซับแรงงานในโครงการภาครัฐแล้ว การดูซับวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์ เหล็ก จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น และแน่นอนว่าจะส่งผลให้ในปีนี้วัสดุก่อสร้างมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และส่งผลถึงต้นทุนวัสดุก่อสร้างในการพัฒนาโครงการของเอกชนแน่นอน ดังนั้น จึงเชื่อได้เลยว่าโครงการภาครัฐจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของการพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการนำระบบบริหารจัดการเข้ามาใช้ในการก่อสร้างมากขึ้น
!!!... อยากฝากเตือน ไปนักพัฒนาอสังหาฯรายใหม่ ...สิ่งสำคัญที่ต้องระวัง คือ หากไม่ใช้มืออาชีพ หรือไม่ความจำเป็นอย่าเข้ามาในช่วงนี้ เพราะนอกจากปัญหาการควบคุมต้นทุน และงานก่อสร้างแล้ว ปัญหาหลักๆสำหรับผู้ผู้พัฒนามือใหม่ คือ การเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยกู้ลูกค้ารายย่อย และการปล่อยสินเชื่อโครงการ ส่วนผู้ที่อยู่ในตลาดแล้วต้องให้ความสำคัญกับเรืองกำลังซื้อของลูกค้าให้มาก เพราะจะต้องประสบกับปัญหาในการขอสินเชื่อจากสถาบันดารเงินแน่นอน