นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน ประเมินปริมาณบ้านสร้างเองทั่วประเทศปี 58 ลดลง แต่ภาพรวมธุรกิจไม่ลดลง โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด ชี้ตลาดระดับราคา 2-4 ล้านบาทยังไปได้ดี สวนทางตลาดระดับ 10 ล้านบาท ที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ การแข่งขันรุนแรง จับสงครามราคาตลาดรับสร้างบ้าน หลังมีส่วนต่างของราคาวัสดุก่อสร้างที่ลดลงสูงถึง 25%
นายสิทธิพร สุวรรณสุต กล่าวในฐานะนายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านว่า แม้ปริมาณบ้านสร้างเองทั่วประเทศมีแนวโน้มปรับตัวลดลงในปีนี้ แต่ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านกลับไม่ได้ชะลอตัวตาม เหตุผลสำคัญเป็นเพราะกลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านชั้นนำมีการโหมทำตลาดกันอย่างจริงจังในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และมียอดขายเติบโตสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการรุกขยายตลาดในพื้นที่ใหม่ๆ ในต่างจังหวัด ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการรายกลาง รายเล็ก ที่เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่า ยอดขายชะลอตัวเล็กน้อย
“มูลค่าสร้างบ้านต่อหน่วยลดลงจากที่ในปีที่ผ่านมาเดิม 5-6 ล้านบาท เป็นพระเอก มาปีนี้จะเป็นระดับราคา 2-4 ล้านบาท เป็นพระเอก เนื่องจากผู้บริโภคใช้เงินอย่างระมัดระวัง รอบคอบ เลยขยับราคาลงมา แต่ถ้าเอาหน่วยของการสั่งสร้างบ้านแล้วก็ไม่ได้ลดลง ในขณะที่กลุ่มบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป มีความต้องการปลูกสร้างน้อยที่สุด ฉะนั้น กลุ่มผู้ประกอบการที่เน้นจับตลาดลูกค้ากระเป๋าหนักต้องพึงระวังในปีนี้ คือ การแข่งขันที่รุนแรง เนื่องเพราะกำลังซื้อ หรือความต้องการมีน้อย แต่คู่แข่งขันในธุรกิจมีจำนวนมากราย หากไม่มีจุดยืน และจุดขายที่แตกต่างจากคู่แข่ง สุดท้ายก็ต้องเกิดสงครามราคา” นายสิทธิพร กล่าว
พร้อมกันนี้ ทางสมาคมฯ ได้ศึกษาฐานกำลังซื้อแฝง พบว่า ผู้ประกอบการนิยมขึ้นโครงการในเขตเมือง ขณะที่กำลังซื้อที่แท้จริงกลับกระจายตัวอยู่นอกตัวเมือง โดยส่วนใหญ่จะอยู่ตามอำเภอ ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ยังขาดผู้ให้คำปรึกษา และมีทางเลือกที่น้อยมาก ดังนั้น ทางสมาคมฯ จะพยายามเข้าไปเจาะฐานลูกค้าให้มากขึ้น
นายสิทธิพร กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ราคาวัสดุก่อสร้างได้ปรับราคาลงอย่างต่อเนื่องตามทิศทางของสภาพเศรษฐกิจ แต่กลับส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้าน เนื่องจากต้นทุนถูกลง สามารถปรับราคาลงได้เฉลี่ย 25% ทำให้สามารถเสนอส่วนลดได้เต็มที่ประมาณ 10% อย่าไรก็ตาม คาดว่าราคาวัสดุก่อสร้างจะดีดตัวสูงขึ้นช่วงครึ่งหลังของปี 58
“ยอดขายของพีดีเฮ้าส์ไตรมาสแรกอยู่ที่กว่า 400 ล้านบาท และคาดว่าไตรมาส 2 จะทำให้ได้ 500 ล้านบาท รวมแล้วครึ่งปีแรกน่าจะได้ประมาณ 900-1,000 ล้านบาท และหากในครึ่งปีหลังทำได้อีกประมาณ 1,000 ล้านบาท จะทำให้ดำเนินการได้ตามเป้ารวมที่ 2,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เราพบว่าสาขาในโซนภาคตะวันตก ตั้งแต่จังหวัดราชบุรี จันทบุรี นครปฐม ยอดขายโตถึง 35% ของยอดขายรวมของกลุ่ม สาเหตุจาก โครงการขนาดใหญ่ของพม่า คือ โครงการทวาย เริ่มมีความชัดเจน เป็นแรงหนุนให้ลูกค้ามาปลูกสร้างบ้านรองรับปริมาณงาน ประกอบกับที่ดินยังมีปริมาณมากเมื่อเทียบกับบางจังหวัดที่ดินมีจำกัด ราคาแพง ขณะที่ตลาดรับสร้างบ้านในพื้นที่ภาคใต้ ชะลอตัวลงตามราคาพืชผลที่สำคัญที่ลดลงอย่างมาก” นายสิทธิพร กล่าว
ขณะเดียวกัน พีดีเฮ้าส์มีแผนการเปิดสาขาตามหัวเมืองทางเศรษฐกิจ หรือที่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อรองรับการเปิด AEC ยังคงดำเนินการต่อเนื่อง อย่างที่ไปเปิดสาขาที่จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดอุดรธานี ก็มีลูกค้าเข้ามาติดต่อ แต่เราขอดูสถานการณ์ และความพร้อม ทั้งนี้ ในปีนี้ทางพีดีเฮ้าส์ จะเปิดสาขาเพิ่ม 4-5 แห่ง จากที่มีอยู่ประมาณ 43 สาขา