xs
xsm
sm
md
lg

สงครามโลกครั้งที่สาม = Money War?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ตลอด 2-3 ปีมานี้ โลกของเราปั่นป่วนจริงๆ ครับ ทั้งสงครามที่เกิดขึ้นจริง และสงครามจากภัยก่อการร้าย รวมไปถึงสงครามที่แฝงมากับระบบเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ เซียนหุ้น หรือใครหลายคนได้ออกมาพูดคำว่า “สงครามค่าเงิน” (Currency War) กันอย่างกว้างขวาง

ความหมายง่ายๆ ของสงครามค่าเงินก็คือ การแข่งกันที่จะลดค่าเงินของตัวเองเพื่อสร้างความได้เปรียบบนเวทีการค้าระหว่างประเทศ อย่างที่จีนต้องลดค่าเงินหยวนของตัวเองเพื่อที่จะชิงความได้เปรียบจากการส่งออก ขณะที่สหรัฐฯ กำลังขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดูดเงินดอลลาร์กลับเข้ามาให้แข็งค่าขึ้น รวมถึงชาติยักษ์ใหญ่อย่างสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ที่งัดมาตรการผ่อนคลายด้านการเงินออกมาอย่างต่อเนื่อง

หากเราวิเคราะห์ในหลายแง่มุมจะพบว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นตามจุดต่างๆ ของโลกในเวลานี้ ยังไม่เกิดขึ้นกับประเทศที่เป็น “Big Brother” แต่อย่างใด ผมขอสรุปสั้นๆ ว่าขั้วมหาอำนาจของโลกในตอนนี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายเท่านั้น คือ สหรัฐอเมริกา โดยมีลูกทีมคือ กลุ่มนาโต้ หรือกลุ่มประเทศในยุโรป และมีสาขาย่อยในตะวันออกกลางก็คืออิสราเอลรวม ถึงชาติอาหรับอย่างซาอุดีอาระเบีย ส่วนอีกฝ่ายนำทีมโดย รัสเซีย ซึ่งมีพันธมิตรสำคัญคือ จีน โดยมีตัวแทนในตะวันออกกลางคือ อิหร่าน น่าเสียดายที่พันธมิตรในกลุ่ม BRIC อย่าง บราซิล อ่อนแรงลงไปมาก ส่วนอินเดีย ก็เริ่มแสดงตัวตนในด้านการสงครามมากขึ้นจากเดิมที่แสดงภาพด้านการค้า ล่าสุด ที่นายกรัฐมนตรีอินเดียไปเยือนมอสโกเรื่องการซื้อขายเครื่องบินรบ เป็นภาพที่ยืนยันว่า 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างมาก

ถามว่าโลกเราจะเข้าสู่สงครามอย่างเต็มตัวไหม? คงจะเป็นไปได้ยากที่สหรัฐอเมริกา และรัสเซียจะเปิดฉากกันซึ่งๆ หน้าซึ่งจะสร้างความเสียหายเกินบรรยาย (และหุ้นคงตกมหาศาล) แต่จะใช้ลักษณะของสงครามตัวแทน (Proxy War) มากกว่า คือ ให้ประเทศพันธมิตรรบกันไปเอง ส่วนตัวเองนั่งบัญชาการเท่านั้น

หากหน้าฉากของยุคสงครามเย็นคือ การชิงความเป็นผู้นำในด้านอวกาศแต่หลังฉากคือ การต่อสู้ในด้านขอเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ในยุคนี้สงครามหน้าฉากคงจะเป็นการรบของประเทศตัวแทนต่างๆ (การสู้รบในซีเรียคือ ภาพที่เห็นชัดเจนที่สุด) แต่หลังฉากน่าจะเป็นสงครามด้านการเงิน (Money War) ไม่เพียงแค่เรื่องของค่าเงิน แต่รวมไปถึงตลาดอื่นๆอย่าง ตลาดหุ้น น้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์ ฯลฯ

ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ กลุ่มพันธมิตรของรัสเซียพยายามที่จะทำลายฐานอำนาจด้านการเงินเดิมของสหรัฐฯ ซึ่งเติบโตมาจากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เงินดอลลาร์กลายมาเป็นเงินสกุลหลักของโลก โดยเฉพาะการผลักดันเงินหยวนขึ้นมามีบทบาท แต่ไม่ทันไรสหรัฐฯ กลับฟื้นตัว และชิงความได้เปรียบด้านตลาดการเงินของตัวเองกลับมาด้วยการขึ้นดอกเบี้ยทำให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่า

เศรษฐกิจรัสเซีย ดูทำท่าว่าจะฟื้นตัวได้ยาก หากราคาน้ำมันยังต่ำแบบนี้ ขณะที่จีนก็ถูกรับน้องโหดไปแล้วจากการทุบตลาดหุ้นในช่วงต้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ก็ต้องเดิมพันตัวเองครั้งใหญ่ หากเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวจริง การขึ้นดอกเบี้ยในขณะที่เงินเฟ้อยังต่ำถือว่ามีความเสี่ยงมาก หากท้ายสุดแล้วเฟดออกมากลับคำตัวเองว่าการขึ้นดอกเบี้ยทุกไตรมาสไม่สามารถทำได้จริง เงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลง กลุ่มพันธมิตรรัสเซียอาจจะโต้กลับเอาคืนได้

บทสรุปคือ ปีนี้ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าสหรัฐฯ จะขึ้นดอกเบี้ยได้ตามที่ประกาศไว้หรือไม่ หากทำไม่ได้รับรองว่าตลาดการเงินโลกปั่นป่วนหนักแน่ รวมถึงจีน จะฟื้นตัวเป็นความหวังให้แก่พันธมิตรรัสเซียได้หรือไม่ สงครามในตลาดการเงินแม้จะเป็นเพียงหลังฉาก แต่ดูแล้วเข้มข้นกว่าสงครามของจริงเสียอีก

ปล. บทความนี้เป็นการวิเคราะห์ด้วยความเห็นส่วนตัวโดยอ้างอิงทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แ ละข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ

SuperTrader Team
ติดตามรายละเอียดของโครงการได้ที่ www.supertrader.co.th
SuperTrader รายการเรียลิตีการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เข้มข้นด้วยความรู้จากโค้ชผู้มากประสบการณ์ ผ่านบททดสอบจากตลาดหุ้นจริง


กำลังโหลดความคิดเห็น