เพิ่งจะเปิดศักราชใหม่ได้ไม่กี่วันดูเหมือนเศรษฐกิจโลก ตลาดเงิน-ตลาดทุน ต่างโดนท้าทายด้วยข่าวและปัจจัยลบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นจีน สถานการณ์ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง รวมไปถึงข่าวการทดสอบระเบิดไฮโดรเจนของเกาหลีเหนือ เรียกได้ว่าแทบจะเปิดหน้าเว็บไซต์ข่าวเพื่อติดตามข่าวสารกันนาทีต่อนาทีกันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะพากันหวาดหวั่นไปมากกว่านี้...ทางทีมงาน “ผู้จัดการรายวัน 360” ขอลัดเลาะพาผู้อ่านไปเกาะติดความคิดเห็นของเหล่าผู้บริหารจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือ บลจ. กันสักนิดเพื่อเป็นแนวทางต่อจากนี้
เริ่มกันที่ นาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย จำกัด กล่าวถึงปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในระยะนี้ว่า การลงทุนในต่างประเทศปีนี้คงจะต้องจับตาปัจจัยหลักอยู่ 3 ประการเช่นกัน ได้แก่1. เศรษฐกิจจีน 2. สถานการณ์ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง 3. การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
โดยขณะนี้สิ่งที่ต้องจับตามากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจจีนที่มีความกังวลว่าจะปรับตัวลดลงอีก และสถานการณ์ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางที่ยังไม่มีความแน่นอน ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเชื่อว่าน่าจะคลาดกังวลได้บ้างแล้วจากการส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงหากมีการขึ้นดอกเบี้ยท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนก็อาจเป็นการซ้ำเติมให้เศรษฐกิจโลกมีการชะลอตัวลงอีกได้
“การลงทุนคงต้องจับตามองเรื่องของจีนกับตะวันออกกลาง ส่วนเรื่องการเทขายหุ้นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่แถบเอเชียนั้นคงต้องบอกว่ามีการขายกันมาแล้วกว่า 3 ปี ซึ่งถ้าดูมูลค่าแล้วมันมากพอกับตอนเกิดวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 เลย แต่ถ้ามาดูเรื่องเสถียรภาพแล้วตลาดเอเชียก็ยังมีการเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง”
โดย บลจ.กสิกรไทยและศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ยังมีปัจจัยลบหลายปัจจัยที่กดดันให้ตลาดหุ้นไทยผันผวน แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในปี 2559 นี้รัฐบาลน่าจะเร่งขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ให้เป็นรูปธรรมชัดเจนมากกว่าปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการเร่งรัดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 อุตสาหกรรม ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อเนื่องไปยังภาคการส่งออก และการกระตุ้นการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ โดยบีโอไอตั้งเป้าว่าในปี 2559 มูลค่าการของบส่งเสริมการลงทุนน่าจะอยู่ที่ 4.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 2.1 แสนล้านบาท เท่ากับว่าขยายตัวเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว และการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานซึ่งหากดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตตามเป้าที่วางไว้ได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ตัวเลข GDP ของไทยในปี 2559 จะขยายตัวได้ในกรอบ 2.5%-3.5% และ บลจ.กสิกรไทยตั้งเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2559 ที่ระดับ 1,400-1,450 จุด
ทางด้าน สมชัย อมรธรรม ผู้อำนายการฝ่ายวิจัย บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งการลงทุนต่างๆ จากภาครัฐและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ น่าจะได้เห็นกันอย่างต่อเนื่อง โดยเราประมาณการณ์ตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่ 3.5% ส่วนภาพรวมตลาดหุ้นไทยนั้นเรามองเป้าหมายดัชนีปีนี้ไว้ที่ 1,480 จุด โดยในช่วงครึ่งแรกของปีดัชนียังมีแนวโน้ม sideway ก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี
อย่างไรก็ตาม เรายังให้น้ำหนักการลงทุนในต่างประเทศมากกว่า โดยเฉพาะหุ้นยุโรปซึ่งยังคงมีมาตรการผ่อนคลายทางการเงินอยู่ รวมถึงทิศทางเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทที่น่าจะดีต่อเนือง
สำหรับสถานการณ์หุ้นจีนในขณะนี้ว่า มาตรการของจีนที่ห้ามผู้ถือหุ้นใหญ่ขายหุ้น 6 เดือนที่กำลังจะสิ้นสุดลงนั้นส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลว่าตลาดจะมีความผันผวนมากขึ้น การทำเซอร์กิตเบรกเกอร์ (circuit breaker) ของจีนส่งผลกระทบทางด้านจิตวิทยาของนักลงทุนค่อนข้างมากทำให้หลายคนค่อนข้างกังวลว่าต่อจากนี้ตลาดหุ้นจีนจะยังคงมีความผันผวนต่อไปจากนี้อีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ทั้งนี้ หากดูภาพรวมของเศรษฐกิจจะพบว่า ภาพรวมในเชิงแม็กโครยังดูดี การเติบโตของเศรษฐกิจยังอยู่ในช่วง soft landing อยู่ แต่ภาพรวมในตลาดการเงินนั้นยังไม่ค่อยดี ซึ่งหากมีมาตรการที่เข้ามากำกับดูแลนักลงทุนอาจจะมีความมั่นใจมากขึ้น นอกจากนี้ปัจจัยภายนอกเช่นราคาน้ำมันและการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดนั้นก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ยังต้องจับตามองต่อจากนี้
สอดคล้องกับ แหล่งข่าวจาก บลจ.รายหนึ่งที่มองว่า ตลาดหุ้นไทยนั้นมีแรงเทขายออกมากจากปัจจัยต่างประเทศรวมถึงแรงขายจากกองทุน LTF ที่ซื้อกันเมื่อปลายปีที่แล้วด้วยต้องการแค่สิทธิลดหย่อนภาษี ซึ่งตลาดหุ้นเองไม่ได้มีการเทขายมากเพราะราคาหุ้นตอนนี้ไม่ได้ถูกไม่แพง
ปัจจัยที่ต้องจับตาดูต่อไป คือ โครงการลงทุนของภาครัฐว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยดันให้ตลาดปรับตัวขึ้นได้ หุ้นที่น่าสนใจยังคงเป็นกลุ่มก่อสร้าง การขนส่ง และที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภาครัฐ หุ้นไทยที่ปรับตัวลงมาตอนนี้ก็สามารถทยอยลงทุนสะสมได้
ส่วนการเทขายของหุ้นจีนที่กระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมานั้นเป็นผลมาจากความไม่มั่นใจในการเติบโตของเศรษฐกิจจีน อีกทั้งตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปมากจึงมีการเทขายทำกำไรออกมา อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจีนยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกมากหากชะลอตัวลงไปกว่าที่คาด ดังนั้น การที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงขณะที่สหรัฐฯ มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยทำให้นโยบายการเงินของแต่ละประเทศแตกต่างกัน ทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวน ขณะเดียวกันทำให้ตลาดหุ้นในเอเชียได้รับผลกระทบตามไปด้วย
ทั้งนี้ การที่ประเทศจีนลดค่าเงินหยวนทำให้เศรษฐกิจจีนปรับตัวขึ้นไปได้ เพราะเป็นผลมาจากในช่วงที่ผ่านมาจีนมีมาตรการอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้เกิดเงินเฟ้อมากจนต้องมีมาตรการควบคุมกันในช่วงหลัง และการลดอัตราดอกเบี้ยทำให้เงินอ่อนค่าลง จึงไม่ได้เป็นการทำให้ตลาดตกใจแต่อย่างใด
“ราคาหุ้นจีนในตอนนี้ถือว่าน่าสนใจเพราะเงินหยวนที่อ่อนค่า แต่จีนยังต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินอีก ดังนั้นจึงต้องจับตาดูว่าจีนจะทำอย่างไรต่อไป นักลงทุนต่างชาติยังให้ความสนใจในตลาดหุ้นจีน อินเดีย ญี่ปุ่น”
นอกจากนี้ ปัญหาในตะวันออกกลางยังต้องจับตามองความขัดแย้งระหว่างประเทศซาอุดิอาระเบียกับอิหร่าน ซึ่งตอนนี้ราคาน้ำมันยังไม่ปรับเพิ่มขึ้นมากเพราะยังมีแรงขายทำให้ราคาต่ำอยู่ แต่หากเกิดความขัดแย้งรุนแรงก็อาจทำให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นได้