บลจ.กสิกรไทยแนะจับตา 2 ปัจจัยหลักต่างประเทศ ทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนและปัญหาในตะวันออกกลาง ระบุหากเศรษฐกิจมังกรเอเชียขยายตัวต่ำเหลือ 6% กระทบตลาดหุ้นอีกระลอกแน่ แต่เชื่อหุ้นยังมีแนวโน้มดีหลังเห็นนโยบายปรับพื้นฐานเศรษฐกิจหันพึ่งการบริโภคและการบริการในประเทศมากขึ้น
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) กล่าวว่า สาเหตุการปรับตัวของตลาดหุ้นจีนในสัปดาห์นี้มาจาก 3 ปัจจัยหลักด้วยกัน คือ 1. ตัวเลขภาคการผลิตของจีนที่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีนให้ปรับตัวต่ำลงกว่า 7% เหลือ 6.5% (ประมาณการใหม่) 2. การกำหนดค่ากลางของสกุลเงินหยวนอย่างเป็นทางการลดลงอีก 0.51% และ 3. การครบกำหนดมาตรการห้ามผู้ถือหุ้นใหญ่ขายหุ้นออกในวันพรุ่งนี้ที่อาจส่งผลให้นักลงทุนมีความวิตกว่าจะมีการเทขายหุ้นออกมาเพิ่มเติม
“การปรับตัวในช่วงที่ผ่านมานั้นจะเห็นได้ว่าปัจจัยทั้ง 2 อันดับแรกจะเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ และปัจจัยสุดท้ายจะเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นโดยตรง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดหุ้นจีนถึงแม้จะมีความผันผวนแต่ยังเป็นตลาดที่น่าสนใจ ซึ่งหลังจากนี้่สิ่งที่ต้องติดตามคือตัวเลขเศรษฐกิจ โดยหากมีการปรับตัวลดลงจากตัวเลขปัจจุบันที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 6.5% ลงเหลือเพียง 6% แล้วคาดว่าตลาดหุ้นจีนจะได้รับผลกระทบจากการเทขายหุ้นออกมาอีกครั้ง” นายนาวินกล่าว
อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นจีนเชื่อว่าจะยังมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากยังมีหุ้นบางกลุ่มที่น่าจะได้รับผลดีจากการปรับพื้นฐานเศรษฐกิจจากเดิมที่พึ่งพาการส่งออกหันมาพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มที่เกี่่ยวข้องกับการบริโภค และบริการจะได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวในส่วนนี้ ขณะที่หุ้นในภาคการผลิตนั้นคงจะต้องลดน้ำหนักการลงทุน
นายนาวินกล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มของการลงทุนในต่างประเทศปีนี้คงจะต้องจับตาปัจจัยหลักอยู่ 3 ประการเช่นกัน คือ 1. เศรษฐกิจจีน 2. สถานการณ์ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง 3. การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยขณะนี้สิ่งที่ต้องจับตามากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจจีนที่มีความกังวลว่าจะปรับตัวลดลงอีก และสถานการณ์ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางที่ยังไม่มีความแน่นอน ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเชื่อว่าน่าจะคลายกังวลได้บ้างแล้วจากการส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงหากมีการขึ้นดอกเบี้ยท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนก็อาจเป็นการซ้ำเติมให้เศรษฐกิจโลกมีการชะลอตัวลงอีกได้
“การลงทุนคงต้องจับตามองเรื่องของจีนกับตะวันออกกลาง ส่วนเรื่องการเทขายหุ้นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่แถบเอเชียนั้นคงต้องบอกว่ามีการขายกันมาแล้วกว่า 3 ปี ซึ่งถ้าดูมูลค่าแล้วมันมากพอกับตอนเกิดวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 เลย แต่ถ้ามาดูเรื่องเสถียรภาพแล้วตลาดเอเชียก็ยังมีการเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง” นายนาวินกล่าว