เป็นที่รับรู้ และเข้าใจกันดีแล้วว่า ในปัจจุบันปัญหาหนี้ครัวเรือน ต้นทุนวัสดุก่อสร้าง และแรงงานที่ปรับตัวสูงขึ้น บวกกับความผันผวนของระบบเศรษฐกิจในประเทศ และเศรษฐกิจโลกมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ต้องการซื้อ และสร้างบ้านเอง
จนทำให้ในปี 2558 ที่ผ่านมา เกิดการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์นานกว่า 10 เดือน โดยเฉพาะปัญหาความเชื่อมั่น และกำลังซื้อที่ลดลงจากหนี้ครัวเรือน ทำให้ผู้บริโภคยังชะลอการตัดสินใจซื้อ หรือสร้างที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านต้องย้อนกลับมาศึกษากันอย่างจริงจังว่าปัจจัยอะไรที่ ส่งผลให้เกิดการชะลอการตัดสินใจสร้างบ้านจริงๆ
ล่าสุด “สิทธิพร สุวรรณสุต” ประธานบริหาร บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด ออกมาชี้ชัดๆ ว่า ปัญหาหลักที่ลูกค้าชะลอสร้างบ้าน ซึ่งนำไปสู่การนำระบบการก่อสร้างโครงสร้างเหล็กเข้ามาทำตลาด ของ “พีดีเฮ้าส์” คือ กำลังซื้อที่ลดลงของลูกค้า ทำให้แนวโน้มบ้านสร้างเองในอนาคตต้องโฟกัสไปในตลาดที่มีระดับราคาไม่สูงเกินกำลังซื้อที่ลูกค้ากลุ่มใหญ่ในปีนี้
ทำไมนำบ้านโครงสร้างเหล็กมาทำตลาดรับสร้างบ้าน
ที่ผ่านมา พีดีเฮ้าส์ นั้นถือได้ว่าคือ “ผู้นำ” ด้านแนวคิด และนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ที่ยังไม่มีผู้ประกอบการรับสร้างบ้านรายใดเคยทำมาก่อนในธุรกิจรับสร้างบ้าน เช่น ผู้นำการสร้างบ้านอนุรักษ์พลังงาน การันตีด้วย 26 รางวัล จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ผู้นำการพัฒนาระบบแฟรนไชส์รับสร้างบ้านรายแรกของประเทศ จนสามารถขยายสาขาได้ทั่วประเทศกว่า 40 สาขา ผู้นำระบบโครงสร้างคอนกรีตสำเร็จรูป ที่เรียกว่า Multi-joint Lock System เชื่อมต่อเสา-คานเข้าด้วยกันแบบ Socket แตกต่างกับโครงสร้างสำเร็จรูปทั่วไป ฯลฯ เป็นต้น
สำหรับระบบบ้านโครงสร้างเหล็ก หรือ “PD Steel House” ที่เรานำมารุกตลาดรับสร้างบ้านครั้งนี้ เกิดจากมองเห็นว่าแนวโน้มการก่อสร้างบ้านพักอาศัยในอนาคต ระบบนี้จะได้รับความนิยมสูงขึ้น ทั้งจากผู้บริโภค และผู้ประกอบการในแวดวงธุรกิจก่อสร้าง เหตุผลหลักๆ คือ 1.ก่อสร้างได้รวดเร็ว ใช้แรงงานน้อย 2.ปลอดภัยกว่าหากเกิดแผ่นดินไหว ด้วยเพราะเหล็กที่นำมาใช้เป็นเหล็กกล้ารับแรงดึงสูง และ 3.น้ำหนักเบา เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านโครงสร้างเหล็กทั่วไป ซึ่งบ้านโครงสร้างเหล็ก “PD Steel House” เหนือกว่าทั้งด้านคุณภาพ และอายุการใช้งาน
ที่มาที่ไปของบ้านโครงสร้างเหล็ก
อันที่จริงเราศึกษา และหาข้อมูลเรื่องบ้านโครงสร้างเหล็กมานานหลายปี เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่สามารถทำตลาดได้ เหตุก็เพราะ ประการแรก เหล็กกล้ารีดขึ้นรูปที่ต้องนำมาใช้ก่อสร้างมีผู้จำหน่าย หรือให้บริการอยู่จำนวนน้อยราย และก็ไม่พร้อมจะซัปพลายเหล็ก และโนว์ฮาวให้แก่เรา ประการถัดมา ราคาเหล็กที่สวิงขึ้น-ลงเยอะมาก บ่อยครั้งเกิดจากการกักตุนและเก็งกำไรของผู้ค้า ทำให้เราบริหารความเสี่ยงในการบริหารต้นทุนยาก และประการสุดท้าย ค่าแรงงานก่อสร้างในประเทศไทยยังไม่สูงมาก จึงทำให้ระบบก่อสร้างคอนกรีตมีต้นทุนต่ำกว่าเหล็ก แต่ในไม่ช้านี้ที่กล่าวมาข้างต้น สถานการณ์กำลังจะเปลี่ยนไป โดยเราจับมือกับผู้จำหน่ายเหล็กกล้าขึ้นรูป 2 ราย เพื่อซัปพลายเหล็กให้เรา ประกอบกับราคาเหล็กที่ลดลง และมีแนวโน้มราคาทรงตัวอีกยาวนาน ซึ่งเราเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะจะนำบ้านโครงสร้างเหล็ก หรือ “PD Steel House” แจ้งเกิดในตลาดรับสร้างบ้านได้
ข้อดี-ข้อด้อยระบบโครงสร้างเหล็กกับระบบพรีแฟบ
ข้อดีข้อแรกของ “PD Steel House” คือ น้ำหนักเบา จึงทำให้ลดต้นทุนค่าขนส่งลงได้มาก โดยเฉพาะพีดีเฮ้าส์เองให้บริการรับสร้างบ้านกว่า 50 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบต้นทุนค่าขนส่งระหว่าง “บ้านเหล็ก” กับ “บ้านคอนกรีต” จะทำให้เราลดต้นทุนค่าขนส่งลงได้ไม่น้อยกว่า 70-80% และนั่นก็ย่อมส่งผลถึงราคาค่าก่อสร้างบ้านที่จะลดลงตามกัน ข้อดีข้อที่สอง ใช้แรงงานน้อยลง โดย“PD Steel House” นั้นใช้แรงงาน 4-5 คนก็เพียงพอแล้ว สำหรับการสร้างบ้านชั้นเดียว 1 หลัง ในระยะเวลาไม่เกิน 45-60 วัน ข้อดีสุดท้ายคือ การก่อสร้างเป็น “ระบบแห้ง” ใช้เครื่องมือกลทำงานเป็นหลัก เช่น สว่านไฟฟ้า เลื่อยไฟฟ้า ฯลฯ ลักษณะการทำงานจึงไม่หนักมาก ไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนเหมือนงานก่อสร้างแบบเดิมที่เป็น “ระบบเปียก” ฉะนั้น ช่างที่ทำงานสร้างบ้าน “PD Steel House” ก็จะมีภาพลักษณ์ต่างกัน เรียกได้ว่าเป็น “ช่างเทคนิค” ค่าแรงก็จะสูงกว่า ซึ่งจะสร้างแรงจูงใจให้มีคนเข้ามาทำงานก่อสร้างในระบบมากขึ้น ปัญหาขาดแคลนแรงงานก็จะค่อยๆ ลดลง
ในส่วนข้อเสียก็คือ วัสดุ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้กับระบบก่อสร้าง“PD Steel House” ในประเทศไทยยังมีผู้จำหน่าย หรือซัปพลายเออร์น้อยราย เช่น วัสดุกันรั่วซึม ฯลฯ ทำให้เรามีตัวเลือกไม่มาก หรืออาจต้องนำเข้าจากต่างประเทศในระยะแรกๆ
การยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่อบ้านโครงสร้างเหล็ก
ในระยะเริ่มต้นของการนำ “PD Steel House” รุกตลาดรับสร้างบ้าน เป็นไปได้ว่าการยอมรับของผู้บริโภคคงยังไม่มากนัก และอาจถูกโจมตีจากคู่แข่งในฐานะผลิตภัณฑ์ใหม่ นั่นเป็นสิ่งที่เราจะต้องให้ความรู้ และทำความเข้าใจต่อผู้บริโภคให้มากที่สุด ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า เหล็กที่เรานำมาใช้ก่อสร้างเป็นเหล็กกล้ารับแรงสูง มิใช่เหล็กรูปพรรณเหมือนบ้านโครงสร้างเหล็กทั่วไป ที่เราเห็นกันในท้องตลาด แต่เชื่อว่าด้วยจุดแข็ง หรือจุดเด่นของ “PD Steel House” ที่มีอยู่หลายๆ ด้านจะสามารถทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่น และยอมรับได้ไม่ยากนัก
กลยุทธ์การตลาดและสร้างการรับรู้ในระบบโครงสร้างเหล็กแก่ผู้บริโภค
อันที่จริงเราเริ่มแนะนำ และให้ความรู้เรื่องบ้านโครงสร้างเหล็ก หรือ “PD Steel House” มาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้ว โดยมีการเปิดตัว และนำบ้านตัวอย่างไปร่วมโชว์ในงานมหกรรมสร้างบ้านและวัสดุก่อสร้าง 2558 ซึ่งผู้บริโภคที่ร่วมชมงานฯ ให้ความสนใจ และเข้ามาสอบถามรายละเอียดกันอย่างคับคั่ง แต่ครั้งนั้นเรายังไม่เปิดขาย หรือรับจองปลูกสร้างใดๆ ถือเป็นแค่การทดสอบตลาดก่อน
สำหรับในปี 59 นี้เราพร้อมจะทำตลาด และเปิดรับจองปลูกสร้างแล้ว โดยเตรี่ยมแบบบ้านไว้ให้ผู้บริโภคเลือกปลูกสร้างกว่า 20 แบบ ราคาตั้งแต่ 1-5 ล้านบาทเศษ ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถพบกับเราได้ที่งานมหกรรมสร้างบ้านและวัสดุก่อสร้าง 2559 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-31 มค.นี้ ณ อิมแพค เมืองทองธานี ซึ่งทุกท่านจะได้สัมผัสกับบ้านจริงๆ ที่เรานำไปโชว์ในงานนี้ หรือจะสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมใดๆ เราก็มีทีมงานวิศวกร และสถาปนิกคอยให้คำแนะนำและปรึกษา
ปีนี้เราเตรียมงบการตลาดไว้ 8 ล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้ต่อผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย และประชาชนทั่วไปผ่านกิจกรรมการตลาด และสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ทุกช่องทาง
กลุ่มเป้าหมาย และมีความคาดหวังผลตอบในระบบโครงสร้างเหล็ก
กลุ่มเป้าหมายที่วางไว้ก็มีทั้งผู้บริโภคที่ต้องการสร้างไว้เพื่ออยู่อาศัยถาวร กลุ่มที่สร้างไว้เป็นบ้านพักผ่อนหลังที่ 2 ในต่างจังหวัด และกลุ่มนักลงทุน หรือเจ้าของรีสอร์ตที่ต้องการงานก่อสร้างที่รวดเร็ว โครงสร้างมั่นคงแข็งแรง และมีอายุการใช้งานยาวนาน โดยเฉพาะสถานที่ก่อสร้างที่อยู่ในเขตภูเขาสูง หรือเส้นทางขนส่งเป็นถนนลาดชันมากๆ ซึ่งระบบก่อสร้างของ“PD Steel House” เหมาะอย่างมาก เพราะน้ำหนักเบา ขนย้ายสะดวก ก่อสร้าง หรือติดตั้งง่าย และประหยัดค่าใช้จ่าย โดยตั้งเป้ายอดขายปีแรกไว้ 100-120 หลัง หรือประมาณ 200 ล้านบาท และตั้งเป้าเติบโตใน 3 ปีแรก 100%