“เอสซีจี” ประกาศเปลี่ยนตราสินค้าวัสดุก่อสร้างจาก “ตราช้าง” เป็น “เอสซีจี” หวังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับอาเซียน และระดับโลก ชู 2 จุดแข็งเรื่องคุณภาพ และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ครบครันด้านที่อยู่อาศัย ทั้งสินค้า บริการ โซลูชัน และช่องทางจำหน่าย เพิ่มความสะดวก จดจำง่าย พร้อมทุ่มงบ 100 ล้านบาท ปรับโฉมแพคเกจจิ้ง และสื่อภายในร้านค้าตัวแทนจำหน่าย
นายนิธิ ภัทรโชค ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-ตลาดในประเทศ ธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กล่าวว่า การเปลี่ยนชื่อแบรนด์ตราช้างมาเป็น “เอสซีจี” เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การนำแบรนด์วัสดุก่อสร้างของไทยบุกตลาดทั่วทั้งอาเซียน ซึ่ง “เอสซีจี” มีนโยบายมุ่งสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจทั้งในประเทศไทย อาเซียน และตลาดโลก ทั้งนี้ จุดแข็งของเอสซีจี ในเรื่องคุณภาพ และนวัตกรรมของวัสดุก่อสร้างจะเป็นหัวหอกในการทำตลาดทั่วอาเซียน ซึ่งแบรนด์เอสซีจีได้รับการยอมรับ และเป็นที่นิยมเรื่องการพัฒนานวัตกรรมอยู่แล้ว ดังนั้น การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้จึงเป็นการยกระดับแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้นในการรุกตลาดในอาเซียน
“เราได้นำแบรนด์เอสซีจีก้าวสู่การแข่งขันในประเทศต่างๆ ในอาเซียนอยู่แล้ว ทั้งในประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และพม่า มีเพียง 2 ประเทศเท่านั้นที่ใช้ชื่อแบรนด์ตราช้าง คือ ประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งนับจากนี้ไปเราจะเรียกวัสดุก่อสร้างแบรนด์ตราช้าง เป็นแบรนด์เอสซีจี ในทุกประเทศทั่วอาเซียน และทั่วโลกที่เราเข้าไปทำตลาด”
ทั้งนี้ การเปลี่ยนชื่อเรียกในครั้งนี้มั่นใจว่าจะไม่มีผลกระทบต่อกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดในประเทศไทย หลังได้ทำการสำรวจความเห็นกลุ่มเจ้าของบ้าน สถาปนิก ผู้รับเหมา ช่าง และกลุ่มดีลเลอร์ ถึงการเปลี่ยนชื่อแบรนด์สินค้าตราช้างมาเป็น “เอสซีจี” พบว่า 99% ของผู้ให้ความเห็น รับรู้ว่า ตราช้าง และเอสซีจีเป็นแบรนด์เดียวกัน มีความเชื่อมโยงกันด้วยสัญลักษณ์ช้างเผือกในรูปหกเหลี่ยม ทั้งยังเชื่อว่าการเปลี่ยนแบรนด์ครั้งนี้จะช่วยยกระดับทั้งด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยีให้ดียิ่งขึ้น
“เอสซีจี เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านนวัตกรรม และความรับผิดชอบต่อสังคม แบรนด์เอสซีจีจึงมีส่วนสำคัญในการทำให้เกิดคุณค่าของแบรนด์สินค้า (Brand Equity) ต่อสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะสินค้าวัสดุก่อสร้างตราช้างให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนการเรียกชื่อแบรนด์ครั้งนี้จะอยู่ในช่วงเวลาที่จะมีการประกาศเปิดตลาดอาเซียนในวันที่ 31 ธ.ค.58 จึงนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งในประเทศ และต่างประเทศ”
นายนิธิ กล่าวว่า นวัตกรรมวัสดุก่อสร้างภายใต้แบรนด์ “เอสซีจี” จะยังคงมีสินค้า และบริการครอบคลุมกลุ่มสินค้าเกี่ยวกับงานโครงสร้าง (Structural Business) ได้แก่ ปูนซีเมนต์ ท่อ และเหล็ก กลุ่มสินค้าเกี่ยวกับบ้านและที่อยู่อาศัย (Housing Business) ได้แก่ หลังคาและอุปกรณ์หลังคา ฝ้าผนัง ไม้สังเคราะห์ ฉนวน และผลิตภัณฑ์ตกแต่งภูมิทัศน์ หลังจากการเปลี่ยนชื่อแบรนด์สินค้าจะมีการเพิ่มกลุ่มโซลูชัน และกลุ่มเทคโนโลยี (Solutions & Technology) ที่จะเพิ่มเติมด้านนวัตกรรม เทคโนโลยีของสินค้า พร้อมบริการแบบบครบวงจร ตลอดจนยังคงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมสินค้า และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งคนไทยและกลุ่มอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับกลยุทธ์ในการสร้างการรับรู้ถึงการเปลี่ยนชื่อแบรนด์สินค้าในครั้งนี้ นายนิธิ กล่าวว่า จะเน้นสื่อสารถึงการเปลี่ยนการเรียกชื่อสินค้า และตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างคุณภาพระดับสากล โดยสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย ทั้งกลุ่มเจ้าของบ้าน สถาปนิก ช่าง ผู้รับเหมา ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย และกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป ด้วยกิจกรรมการตลาดที่ครบวงจรภายใต้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท โดยได้มีการปรับแพกเกจจิ้งสินค้าใหม่ในทุกไลน์ผลิตภัณฑ์ ปรับป้ายโฆษณาทั้งหน้าร้าน และภายในร้านของผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ชื่อชุด “Thumb up” ความยาว 45 วินาที เพื่อตอกย้ำว่า “วันนี้...ทุกผลิตภัณฑ์ตราช้างเรียกชื่อใหม่ว่าเอสซีจี” เพื่ออีกก้าวของการยกระดับคุณภาพเพื่อคุณ ซึ่งได้ออกอากาศไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ และยังมีสื่ออื่นๆ เช่น ป้ายบิลบอร์ด หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุท้องถิ่น เพลงในร้านผู้แทนจำหน่าย เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคจดจำชื่อแบรนด์วัสดุก่อสร้าง “เอสซีจี” ได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว