“ตราช้าง” เดินหน้ารุกตลาดวัสดุตกแต่งภูมิทัศน์เปิดตัวสินค้าใหม่ ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ตกแต่งพื้น กระเบื้องปูพื้น
กลุ่มผลิตภัณฑ์ตกแต่งผนัง กลุ่มผลิตภัณฑ์ตกแต่งสวน ชูจุดแข็งรายแรกและรายเดียวในตลาดที่ครบครันทั้งผลิตภัณฑ์ บริการและโซลูชั่น ครอบคลุมการตกแต่งภูมิทัศน์ในทุกระดับ ตอบโจทย์ทุกงานดีไซน์
นายเสนีย์ ลิมานนท์ดำรงค์ ผู้จัดการส่วนการตลาด กลุ่มสินค้าพื้น รั้ว และแลนด์สเคป ธุรกิจ เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เปิดเผยว่า “ตราช้าง”มีวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และโซลูชั่นใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดอยู่เสมอ รวมทั้งสำรวจความต้องการของตลาด แนวโน้มของตลาด ตลอดจนไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ทำให้ “ตราช้าง” มีผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านที่อยู่อาศัยอย่างครบครัน
“ตราช้าง” ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริการ และโซลูชั่นใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานและความสวยงาม อีกทั้งยังมีนโยบายในการสร้างสรรค์นวัตกรรมร่วมกับลูกค้า (Co-Creation) ทั้งในกลุ่มงานโครงการ ภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างคุณค่าสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างแท้จริง “ตราช้าง” จึงเป็นรายแรกและรายเดียวที่มีผลิตภัณฑ์ครบวงจรมากที่สุด และมีความสมดุลของการออกแบบผลิตภัณฑ์ทั้งส่วนงาน Hardscape และ Softscape
โดยมีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมถึง 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ตกแต่งพื้น (Floor), กลุ่มผลิตภัณฑ์รั้วสำเร็จรูป (Fence), กลุ่มผลิตภัณฑ์ตกแต่งผนัง (Wall) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ตกแต่งสวน (Garden) จึงสามารถตอบโจทย์การตกแต่งภูมิทัศน์ ได้ทุกระดับชั้น ทุกประเภทการใช้งาน เติมเต็มจินตนาการได้ทุกดีไซน์ และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ตกแต่งภูมิทัศน์ ตราช้าง ได้แก่ กลุ่มงานโครงการ (Project) และกลุ่มลูกค้าทั่วไป (End User) นอกจากนี้ยังมีจุดแข็งด้านการให้บริการและโซลูชั่นที่ครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง และบริการหลังการขาย โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากเอสซีจี ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภคด้วย
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจปี 2558 ตราช้าง จะเน้นตอกย้ำภาพความเป็นผู้นำนวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง สานต่อจุดแข็งด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และบริการที่ครบครัน ควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมสินค้าภายใต้ความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภค (Customer Centric) ที่มีความต้องการที่หลากหลาย ตราช้างจึงมีผลิตภัณฑ์หลายรุ่นหลากสไตล์ทั้ง 4 กลุ่ม สามารถนำมาใช้ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคและเข้ากับบ้านทุกสไตล์ได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังสามารถออกแบบเป็นลวดลายเฉพาะสำหรับลูกค้าที่มีความต้องการส่วนบุคคลด้วย
ล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์ตกแต่งพื้น (Floor) ได้แก่ “บล็อกปูพื้น รุ่น Trio Block และ กระเบื้องปูพื้น รุ่น J-Series”, กลุ่มผลิตภัณฑ์ตกแต่งผนัง (Wall) ได้แก่ “กระเบื้องตกแต่งผนัง รุ่น True Nature Old Brick สี Rustic Brown” และกลุ่มผลิตภัณฑ์ตกแต่งสวน (Garden) ได้แก่ “ระบบสวนแนวตั้ง ตราช้าง รุ่น Modular Green Hive” ซึ่งได้วางจำหน่ายแล้วที่ เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์, เอสซีจี โฮมโซลูชั่น, โฮมมาร์ท, เอสซีจี ออเตอร์ไรซ์ ดีลเลอร์ และร้านค้าวัสดุตกแต่งภูมิทัศน์ชั้นนำทั่วประเทศ
"การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในครั้งนี้ นอกจากจะเน้นสร้างการรับรู้ถึงจุดเด่นและความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มงานโครงการทั้งภาครัฐและเอกชน เจ้าของบ้าน ช่างและผู้รับเหมา ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งสื่อออนไลน์ ได้แก่ www.trachang.co.th, www.scgexperience.co.th และwww.facebook.com/trachangbrand สื่อออฟไลน์ ได้แก่ สื่อสิ่งพิมพ์ งานแสดงสินค้าต่างๆแล้ว ตราช้างยังวางกลยุทธ์ในการสร้างการรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์ในกลุ่มตกแต่งภูมิทัศน์ตลอดปี 2558 โดยเมื่อต้นปีได้สร้างการรับรู้ผ่านแคมเปญ เฮ้าส์ สไตล์ (House Style)"
สำหรับครึ่งปีหลังนี้ ตราช้างเตรียมจัด แคมเปญ Let’s Renovate เพราะหน้าบ้านคือหน้าตา กระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายปรับปรุงสวนและภูมิทัศน์รอบบ้านและอาคาร ผ่านการจัดโปรโมชั่นสินค้าราคาพิเศษ และนำเสนอบทความตกแต่งภูมิทัศน์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ตลอดจนไอเดียในการรีโนเวทหน้าบ้าน ซึ่งแคมเปญนี้จะจัดขึ้นระหว่างเดือนกันยายน-ธันวาคม 2558
“เรามั่นใจว่าการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หลากหลายผลิตภัณฑ์ที่พัฒนานวัตกรรมจากความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ประกอบกับจุดแข็งในการเป็นรายแรกและรายเดียวที่ครบครันทั้งผลิตภัณฑ์ โซลูชั่น และบริการ จะทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนการจัดกิจกรรมการตลาดเชิงรุกตลอดทั้งปี จะช่วยสร้างการรับรู้และการจดจำในตราสินค้าได้เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังลูกค้ารายใหม่ๆ และผลักดันยอดขายให้เติบโตตามเป้า โดยตั้งเป้าหมายปี 2558 จะครองความเป็นผู้นำตลาดวัสดุตกแต่งภูมิทัศน์อย่างต่อเนื่อง ด้วยส่วนแบ่งตลาด 62% จากตลาดรวมปีนี้ที่คาดว่าจะมีมูลค่า 2,500 ล้านบาท ทรงตัวจากปีที่แล้ว”