ปลัด “คลัง” มองปัญหา ศก.จีนเป็นเพียงความตื่นตระหนกในระยะสั้น มั่นใจว่าในไม่ช้าการแก้ปัญหาจะเข้าสู่ปกติ พร้อมคาดจีดีพีของไทยปี 59 ขยายตัวได้ 3.8% ขณะที่นักวิชาการ มองจีนภาคตะวันออกยังมีศักยภาพ แนะโฟกัสอินเดียยังเป็นตลาดมีศักยภาพ
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ปัญหาเศรษฐกิจจีนขณะนี้เป็นการตื่นตระหนกระยะสั้น เพราะจีนเริ่มมีนโยบายการเงินยืดหยุ่นมากขึ้น หลังจากทำนโยบายเชิงรุก จึงมั่นใจว่าในไม่ช้าการแก้ปัญหาจะเข้าสู่ปกติ ยอมรับว่าปัญหาของจีนกระทบต่อการท่องเที่ยว และการส่งออกของไทย แต่หากมองในแง่บวกเมื่อจีนใช้นโยบายดูแลเศรษฐกิจในประเทศจีนให้สมดุลแล้ว ระยะยาวเศรษฐกิจจีนจะแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนเพื่อพยุงเศรษฐกิจโลก
ขณะที่รัฐบาลไทยมีแนวทางเป็นฉนวนป้องกันรองรับปัญหาไว้แล้ว ด้วยการส่งเสริมให้ลงทุนในประเทศ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากผู้มีกำลังซื้อให้ใช้เงินในประเทศเหมือนกับมาตรการชอบปิ้งช่วงที่ผ่านมา ส่วนผู้มีรายได้น้อยจะลดภาระต้นทุนอย่างไรให้อยู่ได้ในภาวะเช่นนี้ โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งที่มีแนวโน้มรุนแรงจะมีแนวทางดูแลไม่ให้มีปัญหาเหมือนปัญหาน้ำท่วมช่วงที่ผ่านมา และแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อทำให้เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งระยะสั้น และระยะยาว สำหรับการนำเงินกองทุนวายุภักษ์มาดูแลผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนั้น จะหากลไกดูแลผ่านศูนย์ฟูมฟัก ควบคู่กับการใช้เงินทุนดูแล เพื่อช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจใหม่ หรือ Start Up
ทั้งนี้ ยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังดีกว่าปีก่อน คาดว่าจีดีพีไทยปี 58 จะเติบโตมากกว่าร้อยละ 2.8 และปีนี้ขยายตัวร้อยละ 3.8 เพราะแผนลงทุนภาครัฐไตรมาส 3, 4 จะเป็นเครื่องมือหลักในการเร่งการลงทุนผ่านหลายโครงการ รวมถึงแผนการลงทุนภาครัฐโครงการขนาดเล็ก 1 ล้านบาท จะเบิกจ่ายปีนี้เกือบทั้งหมด การลงทุนตำบลละ 5 ล้านบาทในช่วงไตรมาสแรก แผนปล่อยสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท จากโครงการดอกเบี้ยซอฟต์โลนของธนาคารออมสิน โดยจะออกสู่ระบบในช่วงไตรมาสแรกนี้ และหากช่วงใดซบเซามากจะอัดฉีดเงินออกสู่ระบบในช่วงนั้น หลังจากกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณกันงบกลางสำรองไว้ เพื่อดูภาวะที่เหมาะสมในการใช้งบกลางปี
นายอัทธ์ พิศาลวานิช คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หลังจากจีนทยอยลดค่าเงินหยวนเหลือ 6.5 หยวนต่อดอลาร์สหรัฐ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ คาดว่าอาจต้องลดลงไปอีกเหลือ 6.3-6.5 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ ยอมรับว่าที่ผ่านมา เงินทุนของจีนออกไปลงทุนในต่างประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่ลงทุนในเอเชียร้อยละ 60 ในสัดส่วนดังกล่าวเป็นอาเซียนร้อยละ 36 ไทยเป็นอันดับ 6 รองจากสิงคโปร์ มาเลเซีย ปัญหาของจีนจึงไม่กระทบต่อสหรัฐฯ และยุโรปมากนัก
เมื่อจีนปรับความสมดุลในประเทศให้จีดีพีขยายตัวประมาณร้อยละ 6.3-6.5 ต่อปี จึงทำให้กำลังซื้อประเทศขยายตัวระดับดังกล่าว ผู้ส่งออกของไทยจึงต้องประเมินแผนธุรกิจดังกล่าวให้สอดคล้องต่อจีดีพีของจีน แต่มองว่าจีนมีประชากร 1,300 ล้านคน ยังมีคนที่กำลังซื้อสูงอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณชายฝั่งตะวันออกที่ยังมีโอกาสเติบโตได้ดี เพราะขณะนี้กำลังซื้อบางส่วนยังสูงสามารถเจาะตลาดได้ ที่สำคัญตลาดอินเดียยังเป็นตัวเลือกสำคัญ เพราะจีดีพีขยายตัวสูงถึงร้อยละ 10 นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีในการทำการค้า และลงทุนอีกประเทศหนึ่ง เพราะเป็นตลาดมีอนาคต ซึ่งควรเป็นทางเลือกสำคัญให้นักธุรกิจไทย โดยไม่เน้นเพียงจีนมากเกินไป