ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี คาดรายได้ปีนี้แตะ 2,600 ล้านบาท ส่วนกำไรไม่น้อยกว่า 4% ชี้แนวโน้มอุตฯ ก่อสร้างเริ่มทยอยฟื้นตัว เตรียมลุยงานภาครัฐเต็มสูบ เผยเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “หมอนรองรางรถไฟทั้งทางคู่และความเร็วสูง” คาดได้งานไม่น้อยกว่า 300-400 ล้านบาท
นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี หรือ CCP กล่าวว่า บริษัทฯ ประมาณการรายได้ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2,600 ล้านบาท ซึ่งตั้งเป้าว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 13% และอัตรากำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 4% เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 2,400 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 11-12% และกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 3-4%
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าการที่ผลประกอบการดีขึ้นนั้นเนื่องจากมองว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างจะเริ่มทยอยฟื้นตัวกลับขึ้นมาในปีนี้ อีกทั้งภาครัฐมีแผนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ เช่น รถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟฟ้าในเส้นทางต่างๆ ขณะที่ในส่วนของภาคเอกชนยังมีการขยายงานลงทุนในการก่อสร้างเพิ่มขึ้น
“ในปีนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะเพิ่มสินค้าใหม่ขึ้น 1 ประเภท ได้แก่ หมอนรองรางรถไฟ ทั้งประเภททางคู่ และความเร็วสูง โดยคาดว่าจะได้งานในครั้งนี้มูลค่าเฉลี่ยที่ 300-400 ล้านบาท ซึ่งทางผู้รับเหมาจะมีการเปิดให้ประมูลหมอนรถไฟทางคู่ได้ประมาณไตรมาส 3 ปีนี้ และจะเริ่มส่งมอบได้ในช่วงไตรมาส 4 เช่นกัน”
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เน้นกระจายฐานลูกค้าไปในกลุ่มผู้รับเหมารายย่อยเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่บริษัทฯ มีฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นภาครัฐ อีกทั้งบริษัทฯ เตรียมที่จะขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป รวมถึงมีแผนที่จะปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในเร็วๆ นี้อีกด้วย
ขณะที่ในส่วนของงบลงทุน 150 ล้านบาท ที่บริษัทตั้งไว้ในปีนี้นั้นจะใช้เพื่อลงทุนในการปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รองรับความต้องการของลูกค้า และการเตรียมออกสินค้าใหม่ที่มีศักยภาพการผลิตให้ครอบคลุมสินค้าได้หลายประเภทมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ในส่วนของงานในมือ หรือ Backlog ของบริษัทในขณะนี้มีมูลค่าประมาณ 2,400 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดประมาณ 18 เดือน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 60% ของมูลค่างานในมือทั้งหมด อีกทั้งขณะนี้บริษัทฯ เตรียมที่จะประมูลงานเพิ่มอีกประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยบริษัทฯ จะพยายามคงระดับของมูลค่างานในมือไว้ไม่ให้ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท