นายประทีป ทีปกรสุขเกษม ประธานกรรมการ บมจ.ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี (CCP) กล่าวว่า บริษัทคาดว่าในปี 59 จะได้รับอานิสงส์จากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะโครงการรถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง ในเส้นทางที่ผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก รวมไปถึงภาคใต้ ซึ่งในช่วงไตรมาส 4/58 คาดว่าภาครัฐจะมีความชัดเจนการเปิดประมูลโครงการดังกล่าว และน่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปีหน้า โดยบริษัทเชื่อว่าจะได้รับส่วนแบ่งงานอย่างแน่นอน
“ถ้าภาครัฐเริ่มโครงการเมื่อไหร่ธุรกิจก่อสร้างก็จะได้รับประโยชน์ทั้งหมด แล้วถ้าใครได้งานเราก็จะมีส่วนได้ด้วยแน่นอน โดยเฉพาะรัศมีโครงการตั้งแต่อีสาน ถึงภาคใต้ เราชำนาญอยู่แล้ว โดยเฉพาะท่อคอนกรีตขนาด 2.40 เมตร” นายประทีป กล่าว
สำหรับผลประกอบการในปี 58 บริษัทคาดว่าจะทำรายได้ราว 2,500-2,600 ล้านบาท บวก/ลบไม่เกิน 5% ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน เช่นเดียวกับกำไร แม้ว่าไตรมาส 1/58 กำไรจะปรับตัวลดลงมาเหลือ 13.89 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 66.62 ล้านบาท เนื่องจากส่งมอบงานล่าช้า รวมทั้งธุรกิจก่อสร้างทั้งภาครัฐ และเอกชนหดตัว แต่คาดว่าตั้งแต่ไตรมาส 2/58 เป็นต้นไป จนถึงไตรมาส 4/58 ผลประกอบการจะเป็นขาขึ้น หลังจากเห็นสัญญาณที่ดีของงานภาครัฐที่มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ
“ไตรมาส 2 งานโยธาเริ่มออกมามากขึ้น แต่มาเริ่มจริงๆ ช่วงเดือน 5 (เดือน พ.ค.) แต่ Q3-Q4 จะเริ่มตีตื้นขึ้นมาได้ เพราะในลูกค้ากลุ่มธุรกิจก่อสร้างถือว่าเป็นหน้าการขาย วันหยุดก็มีน้อย มีอุปสรรคเดียวคือ เป็นช่วงฤดูฝน” นายประทีป กล่าว
ขณะนี้บริษัทมีงานในมือ (backlog) สูงถึง 2,300 ล้านบาท ถือว่าเป็นระดับสูงสุดใหม่ หลังจากที่ทำได้ถึง 1,900 ล้านบาท ในปี 57 โดย backlog ดังกล่าวจะรับรู้เป็นรายได้ภายในปีนี้ราว 40% ที่เหลือจะทยอยรับรู้ฯ ในปีหน้า ขณะที่คาดว่าจะมีงานใหม่ออกมาอีกอย่างต่อเนื่อง และน่าจะมีงานจรเข้ามาอีก ซึ่งในปีนี้บริษัทได้ขยับสัดส่วนงานภาครัฐเพิ่มขึ้นมาเป็น 60% จากปีก่อนงานภาครัฐ และเอกชนมีสัดส่วน 50:50
อย่างไรก็ตาม นายประทีป เปิดเผยเพิ่มเติมว่า บริษัทจะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณางบไตรมาส 2/58 ในช่วงเดือน ส.ค.นี้ ซึ่งอาจจะมีเซอร์ไพรส์เกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้น คาดว่าจะจ่ายในอัตราสูงกว่านโยบายของบริษัทที่กำหนดจ่าย 40% ของกำไรสุทธิแน่นอน
“ถ้าภาครัฐเริ่มโครงการเมื่อไหร่ธุรกิจก่อสร้างก็จะได้รับประโยชน์ทั้งหมด แล้วถ้าใครได้งานเราก็จะมีส่วนได้ด้วยแน่นอน โดยเฉพาะรัศมีโครงการตั้งแต่อีสาน ถึงภาคใต้ เราชำนาญอยู่แล้ว โดยเฉพาะท่อคอนกรีตขนาด 2.40 เมตร” นายประทีป กล่าว
สำหรับผลประกอบการในปี 58 บริษัทคาดว่าจะทำรายได้ราว 2,500-2,600 ล้านบาท บวก/ลบไม่เกิน 5% ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน เช่นเดียวกับกำไร แม้ว่าไตรมาส 1/58 กำไรจะปรับตัวลดลงมาเหลือ 13.89 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 66.62 ล้านบาท เนื่องจากส่งมอบงานล่าช้า รวมทั้งธุรกิจก่อสร้างทั้งภาครัฐ และเอกชนหดตัว แต่คาดว่าตั้งแต่ไตรมาส 2/58 เป็นต้นไป จนถึงไตรมาส 4/58 ผลประกอบการจะเป็นขาขึ้น หลังจากเห็นสัญญาณที่ดีของงานภาครัฐที่มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ
“ไตรมาส 2 งานโยธาเริ่มออกมามากขึ้น แต่มาเริ่มจริงๆ ช่วงเดือน 5 (เดือน พ.ค.) แต่ Q3-Q4 จะเริ่มตีตื้นขึ้นมาได้ เพราะในลูกค้ากลุ่มธุรกิจก่อสร้างถือว่าเป็นหน้าการขาย วันหยุดก็มีน้อย มีอุปสรรคเดียวคือ เป็นช่วงฤดูฝน” นายประทีป กล่าว
ขณะนี้บริษัทมีงานในมือ (backlog) สูงถึง 2,300 ล้านบาท ถือว่าเป็นระดับสูงสุดใหม่ หลังจากที่ทำได้ถึง 1,900 ล้านบาท ในปี 57 โดย backlog ดังกล่าวจะรับรู้เป็นรายได้ภายในปีนี้ราว 40% ที่เหลือจะทยอยรับรู้ฯ ในปีหน้า ขณะที่คาดว่าจะมีงานใหม่ออกมาอีกอย่างต่อเนื่อง และน่าจะมีงานจรเข้ามาอีก ซึ่งในปีนี้บริษัทได้ขยับสัดส่วนงานภาครัฐเพิ่มขึ้นมาเป็น 60% จากปีก่อนงานภาครัฐ และเอกชนมีสัดส่วน 50:50
อย่างไรก็ตาม นายประทีป เปิดเผยเพิ่มเติมว่า บริษัทจะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณางบไตรมาส 2/58 ในช่วงเดือน ส.ค.นี้ ซึ่งอาจจะมีเซอร์ไพรส์เกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้น คาดว่าจะจ่ายในอัตราสูงกว่านโยบายของบริษัทที่กำหนดจ่าย 40% ของกำไรสุทธิแน่นอน