xs
xsm
sm
md
lg

“เอเอสเอ็น โบรกเกอร์” ยื่นไฟลิ่งเตรียมขายหุ้นเพิ่มทุน 60 ล้านหุ้น เล็งเข้าตลาดเอ็มเอไอ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:

“เอเอสเอ็น โบรกเกอร์” ยื่นไฟลิ่งแรกเรียบร้อยแล้ว เล็งขายหุ้นเพิ่มทุน 60 ล้านหุ้น จ่อเข้าตลาด mai โดยบริษัทประกอบธุรกิจเป็นนายหน้าประกันวินาศภัย มีรายได้หลักจาก 2 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจนายหน้าขายประกันวินาศภัยที่เป็นการขายประกันรถยนต์เป็นหลัก และธุรกิจนายหน้าขายประกันชีวิต

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า บริษัท เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) ได้ยื่น Filing version แรก เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2558 เนื่องจากบริษัทฯ จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 60 ล้านหุ้น และมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) โดยมีบริษัท ทริปเปิ้ล เอ พลัส แอดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

สำหรับวัตถุประสงค์การใช้เงินเพื่อลงทุนในการพัฒนาระบบข้อมูล และเพื่อลงทุนในการขยายจำนวน Seat ของพนักงานขาย รวมถึงเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

โดย บมจ.เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ ประกอบธุรกิจเป็นนายหน้าประกันวินาศภัย โดยรายได้ของบริษัทมาจาก 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจนายหน้าขายประกันวินาศภัยที่เป็นการขายประกันรถยนต์เป็นหลัก และธุรกิจนายหน้าขายประกันชีวิต โดยลักษณะรายได้ที่ได้รับจะแบ่งเป็นรายได้ค่านายหน้าประกันภัย และรายได้ค่าบริการ และรายได้อื่นๆ ทั้งนี้ บริษัทฯได้ถือหุ้น 99.99% ในบริษัท เอเอสเอ็น ไลฟ์ โบรกเกอร์ จำกัด (บริษัทย่อย) ที่ดำเนินธุรกิจเป็นนายหน้าขายประกันชีวิต

ผลการดำเนินงานของบริษัทงวด 9 เดือนปี 2558 ตามงบการเงินรวม มีสินทรัพย์รวม 110.52 ล้านบาท หนี้สินรวม 48.50 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 62.02 ล้านบาท และมีรายได้รวม 118.04 ล้านบาท กำไรสุทธิ 15.13 ล้านบาท

ณ วันที่ 25 มิ.ย.2558 บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 65 ล้านบาท ทุนเรียกชำระแล้ว 50 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.25 บาท/หุ้น หลังเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้แล้วบริษัทฯ จะมีทุนชำระแล้ว 65 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 260 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.25 บาท/หุ้น

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ณ วันที่ 25 มิ.ย.2558 คือ กลุ่มครอบครัวเลิศรุ่งเรือง ถือหุ้น 159,989,000 หุ้น หรือคิดเป็น 79.995% หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 61.53%

บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลในแต่ละปีในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลของงบการเงินเฉพาะของบริษัท และหลังหักเงินสำรองตามกฎหมาย และเงินสะสมอื่นๆ ตามที่บริษัทกำหนด
กำลังโหลดความคิดเห็น