xs
xsm
sm
md
lg

ซีไอเอ็มบีเก็งบาทแตะ 37 แห่ดึงเงินกลับรับเฟดขึ้น ดบ.-น้ำมันดิ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ซีไอเอ็มบี ไทย ระบุแนวโน้มค่าบาทปลายปีอ่อนค่าแตะ 37 ผลจาก 2 ปัจจัยหลัก “ราคาน้ำมันดิ่งต่อ-เฟดขึ้นดอกเบี้ย” ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดเงินโลก ทำให้มีการดึงเงินออกจากตลาดเกิดใหม่ แนะนักลงทุนถือเงินสด-ตราสารหนี้ระยะสั้น รอจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาสินทรัพย์ลง ขณะที่กองทุนรวมตราสารทุนกลุ่มยุโรป และญี่ปุ่นยังน่าสนใจ

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า วันศุกร์ที่ 4 ธ.ค.2558 มีเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ 2 เหตุการณ์ที่น่าจับตาเปรียบได้กับภูเขาไฟ 2 ลูกที่กำลังจะปะทุในตลาดการเงินโลก โดยภูเขาไฟลูกแรก คือ การประชุมขององค์กรกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก หรือโอเปก (OPEC) ที่มีโอกาสคงกำลังการผลิตน้ำมันเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดของกลุ่มเอาไว้ไม่ให้เสียส่วนแบ่งตลาดให้แก่สหรัฐฯ ที่ผลิต Shale Oil ขณะที่ปีหน้าอิหร่านพร้อมจะเข้ามาส่งออกน้ำมันหลังหลุดจากการแทรกแซงจากฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นที่มาว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับลดลงจากอุปทานที่ล้น ท่ามกลางความต้องการน้ำมันที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเพราะเศรษฐกิจโลกเติบโตช้า ดังนั้น หลังจากวันศุกร์นี้เป็นต้นไปมีโอกาสจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมัน อาจจะปรับตัวจาก 40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลงไปถึง 30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หรือต่ำกว่านั้นก็เป็นได้

ความน่ากังวลต่อเศรษฐกิจไทย คือ คนที่พึ่งพิงรายได้จากภาคเกษตร เพราะราคาสินค้าเกษตรนั้นอิงกับราคาน้ำมันเป็นหลัก ไม่ว่าจะยาง ข้าว หรืออ้อย กลุ่มนี้จะโดนผลกระทบอย่างชัดเจน และอาจส่งผลต่อการบริโภคภาคครัวเรือนให้เติบโตได้ช้าในอนาคต โดยเฉพาะคนในระดับฐานรากที่มีกำลังซื้อต่ำ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยภาพรวมจะเป็นบวก เพราะไทยนำเข้าน้ำมันสุทธิมากประมาณ 10% ของจีดีพี หรือ 20% ของการนำเข้าทั้งหมด ถ้าราคาน้ำมันอยู่ในระดับที่ต่ำหรือลดลงได้ต่อ ไทยจะเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อเสถียรภาพและการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

ภูเขาไฟลูกที่สอง คือ การประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งถ้าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ออกมาดี หรือตัวเลขอัตราการว่างงานลดลงอย่างต่อเนื่อง จะเป็นการตอกย้ำสัญญาณความพร้อมในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ในรอบการประชุมที่จะเกิดขึ้นวันที่ 15-16 ธ.ค.นี้

“นักลงทุนไม่ต้องรอถึงวันที่สหรัฐฯ ประชุมเรื่องอัตราดอกเบี้ยวันที่ 15-16 ธ.ค. เพียงแค่เห็นสัญญาณที่จะเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 4 ธ.ค.ว่า สหรัฐฯ จะขึ้น หรือคงดอกเบี้ยก็พร้อมจะปรับตัว ถ้าเห็นสัญญาณว่าสหรัฐฯ พร้อมจะขึ้นดอกเบี้ยเมื่อไหร่จะส่งผลให้เกิดความผันผวนของค่าเงินในระยะสั้น เพราะสหรัฐฯ ไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยมานานมากแล้ว ถ้าสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อไหร่จะเกิดกระแสเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ และมีโอกาสที่บาทจะอ่อนค่าตั้งแต่วันศุกร์นี้เป็นต้นไปจนถึงช่วงกลางเดือน หลังจากนั้น หากสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยจริงเงินบาทจะอ่อนค่าแรงขึ้นอีกครั้งยาวไปจนถึงปลายปี โดยสำนักวิจัยฯ มองค่าเงินบาทจะอยู่ในระดับ 37 บาทต่อเหรียญสหรัฐช่วงปลายปี”

นายอมรเทพ กล่าวอีกว่า สิ่งที่น่ากังวลคือ ภูเขาไฟทั้ง 2 ลูกนี้จะปะทุขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน และเป็นเรื่องที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโลกทั้งคู่ ซึ่งจะนำไปสู่การเทขายสินทรัพย์เสี่ยง และโยกเงินกลับไปถือสินทรัพย์ในรูปดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้บาทอ่อนค่าได้ต่อเนื่องในปีหน้า เพียงแต่ว่าบาทจะได้รับอานิสงส์ของการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด จากการที่ราคาน้ำมันปรับลดลง ส่งผลให้บาทอ่อนค่าไม่แรงนักเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่ส่งออกน้ำมัน หรือสินค้าโภคภัณฑ์ จึงอาจทำให้ผู้ส่งออกเสียความสามารถในการแข่งขันได้ และอาจกดดันเกมสงครามค่าเงินในภูมิภาคนี้ให้ดำเนินต่อแม้สหรัฐฯ จะขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วก็ตาม

อย่างไรก็ตาม หากทั้ง 2 เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามคาด กล่าวคือ หากอุปทานของน้ำมันหายไป อาจด้วยปัจจัยปัญหาเรื่องตะวันออกกลาง หรือเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ หรือสงครามขึ้นมา ราคาน้ำมันอาจจะขยับขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่น่าจะเกิน 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็นระดับที่ไม่น่าจะทำให้ประเทศไทยเสียดุลการค้า และยังสามารถประคองเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้

ขณะที่ประเด็นเรื่องของสหรัฐฯ ปรับดอกเบี้ยนั้น กรณีสหรัฐฯ ไม่พร้อมขึ้นดอกเบี้ย อาจด้วยปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความเสี่ยง ปัจจัยจากญี่ปุ่น จีน สหภาพยุโรป หรืออีกหลายประเทศ จนสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่ขึ้นดอกเบี้ย จะส่งผลให้เกิดภาวะเงินไหลกลับเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ได้

สำหรับคำแนะนำนักลงทุนในช่วงเงินเฟ้อต่ำ ค่าเงินบาทอ่อน ขณะที่มีแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาตินั้นผมอยากเสนอมุมมองให้นักลงทุนถือเงินสด หรือตราสารหนี้ระยะสั้นไว้บ้าง รอจังหวะการเข้าซื้อเมื่อราคาสินทรัพย์ปรับย่อลง ขณะที่กองทุนรวมตราสารทุนในต่างประเทศกลุ่มยุโรปและญี่ปุ่นยังนับว่าน่าสนใจ เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่ธนาคารกลางทั้งสองจะดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม อันจะเสริมสภาพคล่องให้ตลาดทุนสามารถต้านทานแรงผันผวนได้บ้าง สุดท้ายคือ อสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ในบางกลุ่ม เช่น คอนโดฯ ตลาดบนแนวรถไฟฟ้า หรือบ้านเดี่ยว และทาวเฮาส์ในกรุงเทพฯ และภาคตะวันออก นอกจากนั้น การลงทุนในกองทุนรวมประเภทอสังหาริมทรัพย์ก็สามารถสร้างผลตอบแทนประเภทค่าเช่าและราคาได้ โดยเฉพาะช่วงที่ต้นทุนด้านดอกเบี้ยของไทยนั้นมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับต่ำนาน ไม่พร้อมที่จะขยับขึ้นได้ตามสหรัฐฯ
กำลังโหลดความคิดเห็น