“สิงห์ เอสเตท” แจงแผนลงทุน 3 ไตรมาสเป็นไปตามเป้า หลังผนึกพันธมิตรร่วมลงทุน FICO Holding เข้าซื้อกิจการโรงแรมแบรนด์ “Mercure” ในสหราชอาณาจักร 26 แห่ง มูลค่าการลงทุนกว่า 8,500 ล้านบาท เผยปี 59 เตรียมงบลงทุนเพื่อควบรวม-เทกโอเวอร์กว่า 20,000 ล้านบาท เล็งควบรวม-ซื้อธุรกิจเพิ่ม 4-5 ธุรกิจ ทั้งในและต่างประเทศ มั่นใจปี 63 มีพอร์ตโรงแรมในมือไม่ต่ำ 65 แห่ง ยอมรับรายได้ปี 58 ตกเป้าเหลือ 3,000 ล้านบาท จากเดิมวางไว้ 4,000 ล้านบาท
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S กล่าวว่า บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนตามนโยบายเดิม คือ ขยายพอร์ตการลงทุนในรูปแบบควบรวมบริษัท และซื้อกิจการที่มีศักยภาพ และผลตอบแทนที่ดีเข้ามาในพอร์ต โดยในปีนี้ สิงห์ฯ ได้ใช้เม็ดเงินในการควบรวม และซื้อกิจการธุรกิจในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ไปมากกว่า 10,000 ล้านบาทแล้ว จากเดิมที่วางงบการลงทุนไว้ที่ 8,000-10,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนทางต่อรายได้ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ โดยในปี 58 บริษัทประมาณการว่าจะมายได้เข้ามา 4,000 ล้านบาท แต่เนื่องจากตลาดรวมอสังหาฯ ยังชะลอตัวจากผลกระทบเศรษฐกิจ ทำให้รายได้ที่จะเข้ามาในปีนี้จะลดลงต่ำกว่าประมาณการมาอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารายได้ของปี 58 จะต่ำกว่าประมาณการ แต่สิงห์ฯ ยังคงเดินตามนโยบายการลงทุนเดิมที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 59 บริษัทได้เตรียมเม็ดเงินเพื่อการควบรวม และซื้อกิจการใหม่ๆ เข้ามากว่า 20,000 ล้านบาท โดยการลงทุนในปีหน้าจะไม่จำกัดอยู่เฉพาะการลงทุนในประเทศ แต่กระจายการลงทุนออกไปทั้งใน และต่างประเทศพร้อมๆ กัน โดยในปีหน้าบริษัทมีแผนจะควบรวม หรือเข้าซื้อกิจการเข้ามาเพิ่มอีก 4-5 ราย ซึ่งหนึ่งในจำนวนดังกล่าวอาจจะเสร็จสิ้นในช่วงไตรมาส 4 ของปี 58 นี้
“สำหรับบริษัทที่มีการเจรจาควบรวม หรือซื้อเข้ามาเพิ่มใหม่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มออฟฟิศเช่าและโรงแรม เนื่องจากสามารถรับรู้รายได้ในทันทีไม่ต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนา ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการรับรู้รายได้ และจากการที่ S มีการควบรวมกลุ่มธุรกิจเพื่อเช่ามาจำนวนมากทำให้ในช่วงแรกรายได้ของบริษัทจะมาจากกลุ่มธุรกิจเพื่อเช่าเป็นหลัก แต่คาดว่าในปี 63 สัดส่วนรายได้บริษัทจากธุรกิจเช่า และขายจะมีสัดส่วนเท่าๆ กัน จากการขยายการลงทุนด้านการพัฒนาโครงการจากบริษัทที่ได้ควบรวมเข้ามาในพอร์ตช่วงก่อนหน้า”
นายนริศ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานทั้ง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทสามารถขยายธุรกิจได้ตามแผนงาน และมีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับลักชูรี่ใจกลางอโศก ภายใต้ชื่อโครงการ ดิ เอส อโศก มูลค่าโครงการ 4,534 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าว่ายอดขายที่ 60% ภายในสิ้นปี 2558 และกำหนดแล้วเสร็จในปี 2561
ส่วนโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งตั้งบนถนนอโศก-เพชรบุรี พัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูส มูลค่าโครงการโดยประมาณ 7,000 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 60 ทั้งนี้ บริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้ทำสัญญาเช่าระยะยาว (เซ้ง) พื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตรของอาคารสำนักงานในสิงห์คอมเพล็กซ์เพื่อเป็นออฟฟิศสำหรับผู้บริหารระดับสูง โดยมีกำหนดระยะเวลาการเช่ารวม 50 ปี ประมาณค่าเช่ารวม 1,900 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังได้มีการรับโอนกิจการทั้งหมดของอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์ส มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท บนเนื้อที่ 5.8 ไร่ มี 2 อาคาร สูง 32 ชั้น และ 40 ชั้น เป็นหนึ่งในแผนงานของบริษัทในการขยายธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าซึ่งนอกเหนือจากการสร้างกระแสเงินสดอย่างสม่ำเสมอ (Recurring Income) ให้แก่บริษัทในระยะยาวแล้ว บริษัทยังสามารถรับรู้รายได้และผลกำไรได้ทันที
“สิงห์ เตรียมงบไว้ 100 ล้านบาท สำหรับปรับปรุงอาคารซันทาวเวอร์ส และขยายพื้นที่ค้าปลีกของซันพลาซ่า ปัจจุบัน อาคารซันทาวเวอร์สมีอัตราการเช่าพื้นที่ 95% ส่งผลให้ประกอบการ 3 ไตรมาสที่ผ่านมา เกินกว่าที่ได้ประมาณการไว้ โดยบริษัทตั้งเป้าปีหน้าให้ภาพรวมธุรกิจนี้โตขึ้น 10%”
นายนริศ กล่าวต่อว่า สำหรับความคืบหน้าการร่วมทุนในการเทกโอเวอร์ธุรกิจโรงแรมในประเทศอังกฤษ ระหว่างสิงห์ เอสเตท กับ FICO Holding (UK) Limited ซึ่งจัดตั้งบริษัทร่วมทุน FS JV Co Limited และจดทะเบียนในประเทศอังกฤษ ในสัดส่วน 50% เท่ากัน เพื่อเข้าซื้อกิจการโรงแรม 26 แห่ง ในสหราชอาณาจักร ภายใต้แบรนด์ Mercure มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 8,500 ล้านบาท โดยเป็นการถือครองกรรมสิทธิ์ (freehold) 20 แห่ง และถือครองสิทธิการเช่า (leasehold) 6 แห่ง มีจำนวนห้องพักรวมทั้งสิ้น 2,883 ห้อง และมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในปี 57กว่า 66% การร่วมลงทุนครั้งนี้ถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงธุรกิจโรงแรมของบริษัทไปยังกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพทางการท่องเที่ยวสูง และมีความมั่นคงทางการเมือง และเศรษฐกิจ
“การลงทุนในธุรกิจโรงแรมนั้นทางบริษัทยังมุ่งเน้นในการควบรวมกิจการ หรือในลักษณะ Smart M&Aโดยเน้นการขยายลงทุนในแหล่งท่องเที่ยวในประเทศ และต่างประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนโรงแรมไม่น้อยกว่า 65 แห่ง จำนวนห้องพักมากกว่า 5,000 ห้อง ในปี 2563 ซึ่งจะทำให้สัดส่วนรายได้เปลี่ยนเป็นรายได้ประจำจากค่าเช่า 50% และ รายได้เพื่อขาย 50%”
สำหรับแผนการลงทุนในช่วงปี 58-63 นั้น ตามแผนในปี 2558-2559 ทางบริษัทได้ลงทุนไปมากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีลงทุนในธุรกิจโรงแรมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ประกอบด้วย โรงแรมสันติบุรี สมุย มูลค่า 2,778 ล้านบาท โรงแรมพีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ มูลค่า 2,773 ล้านบาท และกลุ่มโรงแรม เมอร์เคียว สหราชอาณาจักร มูลค่า 8,599 ล้านบาท (ร่วมกับกลุ่มฟิโก้) ในช่วง ปี 59-60 ทางบริษัทจะจัดตั้ง REIT (กองทุนรวมอสังหาฯ) ในปี 60 และเพิ่มจำนวนธุรกิจโรงแรมอีก 6 แห่ง และในปี 2560-2563 ทางบริษัทจะจัดตั้ง REIT (กองทุนรวมอสังหาฯ) ในปี 62 และเพิ่มจำนวนธุรกิจโรงแรมอีก 7 แห่ง รวมทั้งการเพิ่มจำนวนโรงแรมที่บริหารภายใต้กลุ่มอื่นอีก 24 โรงแรม