เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ เทรดวันแรกเหนือจอง 4.90 บาทหรือเพิ่มขึ้น 44.50% จากราคา IPO กำหนดที่หุ้นละ 11 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 3,745.24 ล้านบาท ผู้บริหารยิ้มหลังหุ้นเหนือจองตามคาด มั่นใจพื้นฐานแกร่งดึงนักลงทุนให้มาสนใจ เตรียมนำเงินไปใช้ขยายงาน
วานนี้ (28 ก.ย.) หุ้นของ บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD เข้าเทรดวันแรก พบว่า เปิดเทรดวันแรกอยู่ที่ 13.80 บาท หุ้นเพิ่มขึ้น 2.80 บาท หรือเพิ่มขึ้น 25.45% จากราคาขาย IPO ที่ 11 บาท และเมื่อตลาดปิด ราคาหุ้นอยู่ที่ 15.90 บาท เพิ่มขึ้น 4.90 บาท หรือ 44.50% ระหว่างวันราคาหุ้นปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 15.90 บาท ต่ำสุดที่ 13.10 บาท ด้วยมูลค่าสูงสุดที่ 3,745.24 ล้านบาท
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจหุ้น JWD เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรกจะสามารถยืนเหนือราคาหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ที่หุ้นละ 11 บาทได้ และไม่กังวลภาวะตลาดที่ผันผวน เพราะมั่นใจในพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งดึงนักลงทุนให้มาสนใจ
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะใช้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ และเพื่อใช้ขยายคลังสินค้าทั่วไปในไทยที่ตั้งอยู่แล้วในเขตพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังเพื่อให้เป็นศูนย์เก็บและกระจายสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์ พื้นที่ 9,000 ตารางเมตร พร้อมพัฒนาพื้นที่ศูนย์เก็บและกระจายสินค้าอันตราย เพื่อใช้แยก และกระจายสินค้าในรถขนส่งขนาดเล็กโดยมีพื้นที่ 6,000 ตารางเมตร และก่อสร้างคลังสินค้าทั่วไป และคลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิสำหรับสินค้าแช่เย็นและแช่แข็งในประเทศเมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งมีพื้นที่รวม 6,490 ตารางเมตร เพื่อรองรับอนาคตการเติบโตด้านสินค้าปลีก โดยแผนลงทุนเพื่อขยายการให้บริการทั้ง 2 โครงการดังกล่าว คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 1 ของปี 2559
โดยบริษัทมีหุ้นจดทะเบียน 600 ล้านหุ้น เรียกชำระแล้ว 600 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นทุนชำระแล้ว 300 ล้านบาท สำหรับหุ้นที่เสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) มี 120 ล้านหุ้น ที่ราคา IPO หุ้นละ 11 บาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้ ในปี 2020 บริษัทฯ ได้กำหนดเป้าหมายการขยายฐานธุรกิจเพิ่มเติมไปยังกลุ่มประเทศสมาชิก AEC จะช่วยให้การเติบโตของรายได้จะอยู่ที่ตัวเลข 2 หลัก และผลกำไรจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม โดยเบื้องต้นบริษัทฯ ประเมินว่า สัดส่วนรายได้ที่จะมาจากการขยายฐานการลงทุนในกลุ่ม AEC ที่เริ่มต้นเฉพาะในส่วนธุรกิจรับฝากสินค้าเป็นลำดับแรกนั้น จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 95-100% จาก 80-90% ซึ่งจะทำให้ภาพรวมฐานกำไรของบริษัทดีขึ้น เมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกันที่มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 35-38%
ขณะที่ช่วงครึ่งหลังของปี 2558 บริษัทฯ จะยังคงรักษากำไรได้อย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 17.4% เมื่อเทียบผลกำไรย้อนหลัง 3 ปี นอกจากนี้ นายชวนินทร์ ยังถึงความคืบหน้าในการเจรจาพันธมิตรทางธุรกิจกับอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ น่าจะมีข้อสรุปได้ภายในสิ้นปีนี้