เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ เดินหน้าเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรก 29 กันยายนนี้ มั่นใจนักลงทุนให้การตอบรับดี ประกาศรุกลอจิสติกส์ในประเทศเพื่อนบ้าน เดินหน้าก่อสร้างอาคารคลังสินค้าในพม่า สปป.ลาว และกัมพูชา แย้มมองโอกาสร่วมทุนพันธมิตร หรือควบรวมกิจการขยายธุรกิจดันการขยายตัวสู่ผู้นำธุรกิจลอจิสติกส์ในระดับอาเซียน ด้านบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ประเมินมูลค่าหุ้น JWD ที่เหมาะสม 13.60-14.20 บาท/หุ้น มองแนวโน้มธุรกิจมีโอกาสเติบโตโดดเด่น
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านลอจิสติกส์ภาคพื้นดินอย่างครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นวันแรกในวันที่ 29 กันยายน 2558 ใช้ชื่อย่อ “JWD” ในการซื้อขายในกระดานหลักทรัพย์ฯ โดยมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน หลังก่อนหน้านี้ ได้เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 120 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท ให้แก่นักลงทุนที่สนใจเมื่อวันที่ 21-23 กันยายน 2558 ในราคาหุ้นละ 11 บาท
“เรามีองค์ความรู้ และประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 35 ปี ด้วยจุดแข็งทางธุรกิจที่มีการนำเทคโนโลยีด้านซอฟต์แวร์ที่มาจากการพัฒนาของบริษัทฯ ในเครือ เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการด้านคลังสินค้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้เรามีขีดความสามารถด้านการให้บริการลอจิสติกส์ที่เหนือกว่าคู่แข่ง พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังมีความพร้อม และศักยภาพในการก้าวไปสู่ผู้นำด้านลอจิสติกส์ในอาเซียน ด้วยการเข้าไปลงทุนก่อสร้างคลังสินค้าในประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงเรายังแสวงหาโอกาสในการขยายธุรกิจเพื่อสร้างความแข็งแกร่งด้วยการร่วมทุน หรือควบรวมกิจการกับพันธมิตร เพื่อให้เราก้าวสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้”
สำหรับ บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ ดำเนินธุรกิจให้บริการลอจิสติกส์ภาคพื้นดินมากว่า 35 ปี โดยมีบริการแบ่งเป็น 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.บริการรับฝากและบริหารสินค้า ครอบคลุมสินค้าทั่วไป สินค้าอันตราย ยานยนต์และส่วนประกอบและสินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็นและแช่แข็ง 2.ธุรกิจรับขนส่งสินค้าในประเทศและขนส่งสินค้าข้ามแดน 3.ธุรกิจรับขนย้ายในประเทศและต่างประเทศเจาะกลุ่มบุคคลและองค์กร 4.ธุรกิจให้บริการรับฝากเอกสารและจัดการข้อมูล และ 5.ธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ให้เช่าอาคารและคลังสินค้า รวมถึงให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมีจุดแข็งที่เป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่ได้รับสัมปทานให้บริการรับฝากและบริหารสินค้าอันตรายในเขตพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังนาน 30 ปี จึงทำให้สินค้าอันตรายที่ผ่านเข้า-ออกท่าเรือแหลมฉบัง จะต้องผ่านคลังสินค้าอันตรายของบริษัทฯ เท่านั้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ไปขยายคลังสินค้าในไทย และต่างประเทศ ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ ต่อไป ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างคลังสินค้าทั่วไป และคลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิสำหรับสินค้าแช่เย็นและแช่แข็งในประเทศพม่า สปป.ลาว และกัมพูชา พื้นที่รวม 6,490 ตารางเมตร เพื่อรองรับธุรกิจค้าปลีกด้านอาหารที่กำลังเติบโต จะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/2559 ส่วนในประเทศไทยได้ดำเนินการปรับปรุงคลังสินค้าเดิมในเขตพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ให้เป็นศูนย์เก็บและกระจายสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์ มีพื้นที่ 9,000 ตารางเมตร พร้อมพัฒนาพื้นที่ศูนย์เก็บและกระจายสินค้าอันตรายเพื่อใช้แยก และกระจายสินค้าลงในรถขนส่งขนาดเล็ก ขนาดพื้นที่ 6,000 ตารางเมตร โดยทั้ง 2 โครงการจะเริ่มให้บริการในไตรมาส 1/2559
ขณะที่นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจลอจิสติกส์ในไทย และอาเซียนมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องหลังไทยก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ช่วงปลายปีนี้ ซึ่งจะมีการเชื่อมโยงการค้าการลงทุนที่กระตุ้นให้เกิดการขยายฐานการผลิตในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว พม่า และเวียดนาม) ที่ผู้ประกอบการไทย และต่างชาติเข้าไปลงทุนเพื่อใช้เป็นฐานการผลิต ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจให้บริการลอจิสติกส์ในภูมิภาคนี้ และเป็นโอกาสของ JWD ในการเข้าให้บริการแก่ลูกค้าเพื่อผลักดันการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
ด้านบทวิเคราะห์โดยฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ 4 ราย ได้แก่ บล.กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บล.เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) บล.ไทยพาณิชย์ จำกัดและ บล.ทิสโก้ จำกัด มีมุมมองต่อทิศทางการดำเนินงานของ JWD ในปี 2558-2560 จะเติบโตต่อเนื่อง โดยมีความสามารถทำกำไรขั้นต้นมากกว่า 40% จากรายได้บริการรับฝากสินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็นและแช่แข็ง ยานยนต์และสินค้าอันตรายที่เป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้อย่างโดดเด่น ซึ่งคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 17% และ 14% ตามลำดับ ขณะเดียวกัน ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนก่อสร้างคลังสินค้าทั่วไป และคลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็นและแช่แข็งที่ประเทศพม่า สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่ง JWD ถือเป็นผู้ประกอบการรายแรกๆ ที่เข้าไปรุกตลาดในประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจัง จึงมีแนวโน้มจะได้รับประโยชน์จากความต้องการบริการด้านลอจิสติกส์ และคลังสินค้าที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ จึงได้ประเมินราคาที่เหมาะสม (Fair Value) ของหุ้น JWD ในปี 2558-2559 ไว้ที่ 13.60-14.20 บาท โดยคำนวณจากวิธีคิดส่วนลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow : DCF) และอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ในปีนี้ที่ 22.5-23 เท่า ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมเดียวกันที่มีค่า P/E สูงถึง 34 เท่า อีกทั้งการประเมินราคาหุ้นที่เหมาะสม 13.60-14.20 บาทดังกล่าว ยังคงสูงกว่าราคา IPO ซึ่งอยู่ที่หุ้นละ 11 บาท จึงสะท้อนถึงความน่าสนใจในการลงทุนได้เป็นอย่างดี