บมจ.มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ KOOL เปิดเทรดวันแรกในตลาดหุ้น mai ทันทีที่เปิดตลาดราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 3.54 บาท/หุ้น จากราคา IPO ที่ 1.80 บาท/หุ้น หรือปรับตัวสูงขึ้นกว่า 96.67%
บมจ.มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นผู้ผลิตพัดลมไอเย็นภายใต้แบรนด์ MASTERKOOL ที่มีจำหน่ายทั่วโลก โดยมูลค่าตลาดเครื่องปรับอากาศ 5 ปีที่ผ่านมา โตเฉลี่ยปีละ 8% ส่วนมูลค่านำเข้าพัดลมไอเย็น ขนาดกลาง-ใหญ่ ในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา เติบโตเฉลี่ยปีละ 35%
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลการดำเนินงาน 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ รายได้และกำไรเติบโตในระดับที่ใกล้เคียงกันคือ ประมาณ 35% ต่อปี แต่กำไรสุทธิผันผวนขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายในการทำตลาด ทั้งนี้คาดว่าบริษัทฯ จะทำได้ดีขึ้นจากการรุกช่องทางค้าปลีกที่ไม่ต้องโฆษณามากเหมือนเมื่อก่อน โดยค่าเช่าคลังสินค้าจะลดลงกว่าครึ่งจากการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนขายหุ้น IPO ครั้งนี้นำมาสร้างคลังสินค้าของตัวเอง
ขณะที่ คุณเกษ ตวงทอง นักวิเคราะห์จาก บล.ทรีนิตี้ กล่าวถึงแนวโน้มทิศทางของ บมจ.มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล แนวโน้มผลการดำเนินงานยังคงเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 47 ต่อปี โดยประเมิน ณ สิ้นปี 2558 บริษัทฯ จะมีรายได้รวมราว 648 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นที่ราวร้อยละ 43.4 ซึ่งจะส่งผลให้คาดว่ามีกำไรสุทธิอยู่ที่ 45 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 43.4 จากปีก่อน ปัจจัยหนุนจากการขยายช่องทางการขายแบบออนไลน์ และจากช่องทางเดิมโดยเฉพาะห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ซึ่งบริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมต่อกลุ่มลูกค้าหลากหลาย ซึ่งมีผลให้ประเมินว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะดีขึ้นร้อยละ 0.1 จากปีก่อน และคาดกำไรปี 2559 และปี 2560 อยู่ที่ 63 ล้านบาท และ 97 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ปี 2558-2560 ราวร้อยละ 47 ต่อปี
ทั้งนี้ ราคาเป้าหมายปี 2559 เท่ากับ 2.50 บาท โดยคาดว่าราคาเป้าหมายปี 2559 ที่ 2.50 บาท อิง PER 19 เท่า ตามค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมเครื่องใช้ในครัวเรือน และสำนักงานย้อนหลัง 3 ปี นอกจากนี้ คาดว่า Dividend Yield จะอยู่ที่ราวร้อยละ 2.0 ต่อปี ภายใต้สมมติฐาน Payout ratio ที่ร้อยละ 40 ของงบการเงินบริษัทฯ
อย่างไรก็ตาม หลังปิดตลาดการซื้อขายหลักทรัพย์ภาคเช้า หลักทรัพย์ของ KOOL ปิดที่ 2.86 บาท เพิ่มขึ้น 1.06 บาท (+58.89%) จากราคาขาย IPO ที่ 1.80 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 1,438.09 ล้านบาท