“KOOL” จ่อเข้าเทรดใน mai พุธที่ 23 ก.ย.นี้ ตั้งเป้าระดมทุน 216 ล้านบาท ในราคา IPO ที่ 1.80 บาท/หุ้น เผยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สร้างคลังสินค้า และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการขยายตัวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า บมจ.มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ KOOL จะเข้าจดทะเบียน และเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในกลุ่มบริการ วันที่ 23 กันยายนนี้ โดยบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจจัดหา และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำความเย็น เช่น พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรม ภายใต้ตราสินค้า “MASTERKOOL” และ “Cooltop” นอกจากนี้ ยังมีบริการให้เช่าใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ รวมถึงออกแบบติดตั้งระบบระบายความร้อนในโรงงานอุตสาหกรรม และคลังสินค้า มีบริษัทย่อยดำเนินธุรกิจออกแบบ และติดตั้งระบบโอโซนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จัดจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางที่หลากหลาย ทั้งห้างค้าปลีกสมัยใหม่ และเว็บไซต์ ตัวแทนจำหน่ายทั้งใน และต่างประเทศ รวมทั้งจัดจำหน่าย และบริการโดยตรงผ่านบริษัท
อย่างไรก็ตาม บมจ.มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล มีทุนชำระแล้ว 120 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ประกอบด้วย หุ้นสามัญเดิม 360 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 120 ล้านหุ้น เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 16-18 กันยายน 2558 ในราคาหุ้นละ 1.80 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 216 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO ที่ 864 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และแกนนำการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่าย
ขณะที่ นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บมจ.มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ KOOL กล่าวว่า บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทำความเย็น โดยมีประสบการณ์ในธุรกิจกว่า 13 ปี มีจุดแข็งเรื่องการเป็นผู้คิดค้น และออกแบบผลิตภัณฑ์เองทำให้สามารถพัฒนาสินค้าที่ลดอุณหภูมิได้ดีกว่าคู่แข่ง การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโต โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สร้างคลังสินค้า และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการขยายตัวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ บมจ.มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ KOOL มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มนายนพชัย วีระมาน ถือหุ้น 26.50% นายฟัง เม็ง ฮอย ถือหุ้น 16.91% และบริษัทร่วมทุน เค-เอสเอ็มอี จำกัด ถือหุ้น 6.91% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ที่ 32.81 เท่า คำนวณจากผลประกอบการในรอบ 4 ไตรมาสที่ผ่านมา (1 กรกฎาคม 2557-30 มิถุนายน 2558) ซึ่งเท่ากับ 26.33 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.05 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในแต่ละปีในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลของงบการเงินเฉพาะกิจการ และหลังหักสำรองตามกฎหมาย และเงินสะสมอื่นๆ