3 แบงก์เจ้าหนี้หลัก SSI รับไตรมาส 3 เอ็นพีแอลเพิ่ม เตรียมตั้งสำรองหนี้สูญอีก “กรุงไทย” 9 พันล้าน “ไทยพาณิชย์” 1-1.1 หมื่นล้าน “ทิสโก้” 1.4-1.5 พันล้าน พร้อมหารายได้อื่นชดเชย ห่วงกระทบกำไร
นางอรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนกลุ่มเจ้าหนี้หลัก ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารทิสโก้ ขอชี้แจงว่า กลุ่มธนาคารเจ้าหนี้ได้มีการกันสำรองหนี้สูญในส่วนของ บมจ.สหวิริยาอินดัสตรี (SSI) และบริษัทย่อย สหวิริยาสตีลอินดัสตรี ยูเค (SSI UK) มาอย่างต่อเนื่อง และได้เห็นพ้องกันที่จะตีหลักประกันเงินกู้ในส่วนของ SSI UK เป็นศูนย์ ซึ่งสินเชื่อในส่วนนี้มีจำนวน 790 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท) เป็นส่วนของธนาคารกรุงไทย ไทยพาณิชย์แห่งละ 345 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เหลือเป็นส่วนของธนาคารทิสโก้
ทั้งนี้ ยอดหนี้รวมของ SSI ที่มีอยู่ต่อกลุ่มเจ้าหนี้รายใหญ่ 3 ราย มีมูลค่ารวมประมาณ 5 หมื่นล้านบาท เป็นส่วนของธนาคารกรุงไทย ไทยพาณิชย์แห่งละ 2.2 หมื่นล้านบาท และธนาคารทิสโก้ประมาณ 4.4 พันล้านบาท พร้อมกันนั้น กลุ่มธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่จะดำเนินการร่วมกันในการจัดทำแผนการปรับปรุงโครงสร้างทางการเงิน และการบริหารจัดการหนี้ของบริษัทให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเสถียรภาพต่อไป
นางอรนุช กล่าวว่า ในส่วนของธนาคารทิสโก้ ได้ทยอยตั้งสำรองหนี้สูญเพื่อรองรับความเสียหายมาโดยตลอด และจะตั้งสำรองเพิ่มขึ้นอีก 1,400-1,500 ล้านบาทให้ครบ 100% ในไตรมาส 3 นี้ ซึ่งภาระการตั้งสำรองดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานประนจำปีของบริษัทบ้างแต่ไม่เป็นนัยสำคัญ ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จะเพิ่มขึ้นจากส่วนของสินเชื่อที่ให้แก่ SSI ประมาณ 0.34%
นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ในส่วนของการตั้งสำรองฯเพิ่มนั้น จากมูลหนี้รวม 2.2 หมื่นล้านบาท ได้ตั้งสำรองไว้แล้ว 1-1.1 หมื่นล้านบาท และเมื่อหักหลักประกันจาก SSI ที่ตีค่าประมาณ 3 พันล้านบาทแล้ว ก็จะเหลือส่วนที่ต้องกันสำรองอีก 9 พันล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้จะไม่กระทบต่อผลการดำเนินงาน หรือรายได้ของธนาคารอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากธนาคารมีสำรองพิเศษไว้ระดับหนึ่งแล้ว ก็สามารถใช้ส่วนนี้นำมาตั้งสำรองตรงนี้ได้ และธนาคารก็สามารถทยอยตั้งสำรองพิเศษเพิ่มไว้อีกได้
อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ลดลงเหลือ 90%กว่า จาก 125% ซึ่งธนาคารก็จะต้องเพิ่มสัดส่วนตรงนี้ให้อยู่ในระดับ 100% ต่อไป ขณะที่เอ็นพีแอลโดยประมาณน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.5% จาก ไตรมาส 2 ที่ 2.96%
“การตีมูลค่าหลักประกัน SSI UK เป็นศูนย์ก็ถือว่าเป็นระดับเข้มข้นอยู่แล้ว และกรณีของ SSI เกิดจากเรื่องของอุตสาหกรรม ไม่ใช่การบริหารจัดการผิดพลาด หรือหละหลวม ธุรกิจในประเทศไทยยังสามารถดำเนินการต่อได้ ตรงนี้ธนาคารก็พร้อมที่จะวางแผนร่วมกับ SSI วางแผนปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้”
ด้านธนาคารไทยพาณิชย์ ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ในฐานะหนึ่งในสามธนาคารเจ้าหนี้หลักของ SSI ได้มีการเตรียมเพื่อรองรับสำหรับสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมาหลายเดือนแล้ว โดยได้วางแผนการตั้งสำรองเพิ่มในจำนวนที่สูงอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสปัจจุบัน จากยอดหนี้รวม 2.2 หมื่นล้านบาท การตั้งสำรอง หรือตัดหนี้สูญของ SSI และบริษัทในเครือจะมีจำนวนรวมกันประมาณ 1-1.1 หมื่นล้านบาท
ขณะเดียวกัน ธนาคารได้มีการดำเนินการเพื่อที่จะให้รับรู้กำไรที่เกิดจากการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีอยู่ในพอร์ตการลงทุนของธนาคาร โดยจะมีการบันทึกรับรู้กำไรจากการลงทุนเมื่อมีการขายหลักทรัพย์เกิดขึ้น ในไตรมาสนี้คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 7-8 พันล้านบาท ซึ่งจะสามารถลดผลกระทบต่อกำไรสุทธิของธนาคารอันเนื่องมาจากการตั้งสำรองในกรณีของ SSI ได้ในระดับหนึ่ง
