xs
xsm
sm
md
lg

3 แบงก์ใหญ่ปรับชั้นหนี้ของ SSI เป็น NPL หลังบอร์ดแถลงข่าวปิดโรงงานในอังกฤษ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


MBKET เผยบทวิเคราะห์ 3 ธนาคารยักษ์ใหญ่ทั้ง TISCO, KTB และ SCB เจ้าหนี้ของ SSI ปรับลดชั้นหนี้เป็น NPL หลังส่อเค้าสูญเงินจำนวนมหาศาล โดยคาดว่า NPL จะเพิ่มขึ้นกว่า 0.34%

นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET กล่าวในบทวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ของ บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี หรือ SSI หลังจากที่ได้ประกาศปิดโรงงานถลุงเหล็กในประเทศอังกฤษ ซึ่งทำให้ 3 ธนาคารรายใหญ่ผู้เป้นเจ้าหนี้ของ SSI ได้แก่ TISCO, SCB, KTB ได้ทำการปรับลดชั้นหนี้ของ บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี ลงเหลือในระดับชั้นความเสี่ยงเป็น “หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL” อีกทั้งยังได้ปรับลดราคาเป้าหมายปรับลดราคาเป้าหมายลง 14.4% หลังปรับสมมติฐาน Credit cost เพิ่มขึ้น 30bps และปรับลดสมมติฐานการเติบโตของสินเชื่อลงจาก -3% เป็น -5%

อย่างไรก็ตาม หลังการตัดสินใจหยุดผลิตของโรงงานถลุงเหล็กทีไซด์ในอังกฤษของ SSI ทำให้ TISCO จะทำการจัดชั้นหนี้ จำนวน 4.4 พันล้านบาท ของ SSI เป็นหนี้เสีย ซึ่งมาตรฐานดังกล่าวสอดคล้องต่อเจ้าหนี้อีก 2 รายที่เหลือ คือ KTB และ SCB ดังนั้น NPL คาดจะเพิ่มขึ้น 0.34% ตามคาดการณ์ของ CEO TISCO ธนาคารจะทำการตั้งสำรองพิเศษจำนวนประมาณ 1.4 ถึง 1.5 พันล้านบาท ครอบคลุมหนี้ของ SSI ทั้งก้อน กำไรสุทธิในไตรมาส 3 จะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ค่าเฉลี่ยของกำไร 4 ไตรมาสที่ผ่านมา อยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท ขณะที่ค่าเฉลี่ย Loan/loss provision เท่ากับ 1.1 พันล้านบาท

ขณะเดียวกัน แม้ว่า TISCO ได้ทำการตั้งสำรองหนี้ของ SSI ทั้งจำนวนแล้ว TISCO ยังคงเผชิญความเสี่ยงต่อไป เนื่องจาก coverage จะยังคงต่ำกว่า 100% ในปีนี้ ดังนั้น คาดว่า TISCO จะคงต้องตั้งสำรองต่อเนื่องในอนาคต เราจึงทำการปรับสมมติฐาน Credit cost ในปีนี้ขึ้นเป็น 200bps จาก 170bps NPL คาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.0% ในปีนี้ คุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวแย่ลงจะกดดันให้ TISCO ต้องรัดกุมนโยบายสินเชื่อจากความกังวลต่อ NPL ที่เพิ่มขึ้น และดังนั้น เราปรับสมมติฐานการเติบโตของสินเชื่อในปีนี้ลงจาก -3% เป็น -5% ประมาณการกำไรสุทธิของเราในปีนี้จึงลดลง 14.4% ไปอยู่ที่ 3.9 พันล้านบาท ประมาณการในปี 2016 และ 2017 ก็ถูกปรับลดลง 18% จากประมาณการเดิมเนื่องมาจาก Credit cost ที่เพิ่มขึ้น จากแนวโน้มกำไรที่ลดลงในระหว่างปี 2015-2017 ส่งผลให้ ROE เฉลี่ยลดลงเป็น 14.5%
กำลังโหลดความคิดเห็น