โบรกฯ ยันนักลงทุนต่างชาติยังเชื่อมั่น ศก.ไทย แม้ระยะสั้นจะมีบางส่วนกังวลปัจจัยกระทบภายนอกประเทศ ทั้งการขึ้น ดบ.ของสหรัฐฯ และปัญหา ศก.จีน ซึ่งจะมีผลให้เงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ ชี้หากเฟดขึ้น ดบ.จริงก็จะทำให้เกิดความชัดเจน และหมดภาวะความอึมครึม แต่เชื่อว่าจะยังไม่ขึ้นในทันที และตลาดได้รับรู้ข่าวมาเยอะแล้ว พร้อมระบุมาตรการกระตุ้น ศก.ของรัฐบาลช่วยฟื้นการบริโภค และลงทุนในประเทศ
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติบางส่วนยังกังวลปัจจัยภายนอกทั้งผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และเศรษฐกิจของประเทศจีน ซึ่งจะส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ มองว่าเฟดยังคงไม่กล้าเสี่ยงที่จะขึ้นดอกเบี้ยทันทีขณะนี้ เพราะภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร แม้ว่าตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ จะปรับตัวดีขึ้นด้านปัจจัยในประเทศ
พร้อมกันนี้ ยังมองว่านักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนระยะยาวยังคงมั่นใจพื้นฐานเศรษฐกิจไทย และจับตาผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาลที่มุ่งช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และเอสเอ็มอี รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน โดยมองจังหวะเข้าซื้อหุ้นในช่วงตลาดผันผวนระยะสั้น และยังปรับลดลงอีก ให้กรอบดัชนี 1,400 จุด โดยกลุ่มที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ ได้แก่ ก่อสร้าง การบริโภคในประเทศ และธนาคารพาณิชย์
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยหลักทรัพย์ บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจากการประชุมสัปดาห์หน้า ซึ่งจะส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลกให้ปรับตัวลดลง แต่ในแง่บวกจะเป็นการสร้างความชัดเจนภาคการลงทุนมากขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ นักลงทุนในตลาดทุนทั่วโลกเกิดความไม่มั่นใจ และชะลอการตัดสินใจลงทุนเพื่อรอแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม หากเฟดไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกยังไม่แน่นอนต่อไป นอกจากนี้ ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุน คือ ตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ยังอ่อนแอ ซึ่งต้องจับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนว่าจะมีการออกมาตราการเพิ่มหรือไม่
สำหรับตลาดหุ้นในประเทศถือว่าสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้นจากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน โดยคาดว่าดัชนีหุ้นไทยปลายปีนี้จะมีกรอบอยู่ที่ 1,300-1,450 จุด หุ้นกลุ่มที่มีความน่าสนใจในช่วงนี้เริ่มมีราคาเหมาะสมต่อการลงทุนระยะยาว เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี ส่วนหุ้นที่เหมาะลงทุนระยะสั้นโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มไอซีที ที่ได้ประโยชน์จากการประมูล 4 จี กลุ่มส่งออก ที่ได้รับอานิสงส์จากเงินบาทที่อ่อนค่า กลุ่มก่อสร้างได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ส่วนกลุ่มที่ยังไม่น่าลงทุน คือ กลุ่มพลังงาน เนื่องจากราคาพลังงานยังคงผันผวน
ด้าน นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด คาดว่าการประชุมเฟดสัปดาห์หน้าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งอัตราการว่างงานลดลงเหลือร้อยละ 5.1 ดัชนีภาคการผลิตและภาคการบริโภคที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง รวมถึงราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะเพียงพอทำให้เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่ได้ส่งสัญญาณไปก่อนหน้านี้ ไม่เช่นนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของเฟดได้
ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอาจจะมีบ้าง แต่ตลาดรับรู้ข่าวสารบ้างแล้วผลกระทบจึงน่าจะมีอย่างจำกัด ซึ่งเมื่อรวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะอัดฉีดเม็ดเงินสู่เศรษฐกิจผู้มีรายได้น้อย และกระตุ้นกำลังซื้อมากขึ้น จึงมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.5-2.9