ทิสโก้ชี้อสังหาฯ 3 ภูมิภาคหลัก “ยุโรป-ญี่ปุ่น-อเมริกา” ส่งสัญญาณรีบาวนด์แรงในรอบ 1 เดือน สะท้อนปัจจัยบวก หลังตลาดคาด Fed ยังไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย ด้านญี่ปุ่น-ยุโรปเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง หนุนอสังหาฯ เติบโตโดดเด่น
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) กล่าวว่า ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา (4 ก.ย.-7 ต.ค. 58) ดัชนีกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIT ใน 3 ภูมิภาคหลักของโลก ได้แก่ ดัชนี TSE REIT (Tokyo Stock Exchange REIT Index) ในญี่ปุ่น, ดัชนี EPRA Index ในยุโรป และดัชนี RMZ (MSCI US REIT Index) ในสหรัฐอเมริกา ปรับตัวขึ้นแรง โดย TSE REIT ปรับตัวขึ้นถึง 9.36% ขณะที่ EPRA Index ปรับตัวขึ้น 7.89% และดัชนี RMZ ปรับตัวขึ้น 3.38% สอดคล้องกับมุมมองของทิสโก้ที่แนะนำให้ลูกค้าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ใน 3 ภูมิภาคหลักดังกล่าว
“ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของ REIT ในระยะนี้คือ ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่า Fed อาจจะยังไม่เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังจากรายงานตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าที่คาด นอกจากนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นและยุโรปมีโอกาสขยายระยะเวลาและเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากรายงานอัตราเงินเฟ้อเริ่มชะลอลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของญี่ปุ่นและยุโรปจะทรงตัวในระดับต่ำไปอีกระยะ นอกจากนี้ ในแง่ของปัจจัยพื้นฐาน ดัชนีราคาของ REIT ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนเงินปันผลและพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Yield Gap) มีส่วนต่างสูงที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2014 โดยมี Yield Gap อยู่ที่ 2.9% และ 1.9% ตามลำดับ”
ทั้งนี้ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้แนะนำอสังหาริมทรัพย์ในยุโรปและญี่ปุ่น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และแนวโน้มดอกเบี้ยที่ยังต่ำจากการทำ QE ของทั้ง 2 ภูมิภาค ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในยุโรปและญี่ปุ่นมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้อีกมาก ประกอบกับราคาของอสังหาริมทรัพย์ในยุโรปและญี่ปุ่นถือว่ายังไม่แพงเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ โดยมี Valuation ที่น่าสนใจ และซื้อขายที่ราคาถูก ดังนั้น อสังหาริมทรัพย์ในยุโรปและญี่ปุ่นจะเป็นเป้าหมายการลงทุนในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ส่วนอสังหาริมทรัพย์ “สหรัฐฯ” แม้จะยังมีความกังวลในเรื่องดอกเบี้ย แต่ก็ยังมีความน่าสนใจในระยะยาว
“อสังหาริมทรัพย์ยังเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีในระยะยาว โดยในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10.3% สูงกว่าตลาดหุ้นทั่วโลกที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 7.4% จึงแนะนำให้แบ่งสัดส่วนการลงทุนในการลงทุนทางเลือก เช่น อสังหาริมทรัพย์ ประมาณ 7-10% ของพอร์ต และอาจเพิ่มสัดส่วนได้หากรับความเสี่ยงได้สูงขึ้น โดยข้อดีของ REIT คือ เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนและทรัพยากรมากเหมือนการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยตรง และสามารถทำผ่านผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูง ดังนั้น REIT จึงเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ และช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของพอร์ตลงทุนในระยะยาวได้เป็นอย่างดี” นายคมศรกล่าว