ตลาดหลักทรัพย์ช่วงเช้าวันนี้ปิดที่ระดับ 1,416.66 จุด เพิ่มขึ้น 2.74 จุด (+0.19%) มูลค่าการซื้อขาย 17,202.94 ล้านบาท ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยแตะจุดสูงสุดที่ 1,418.69 จุด และแตะจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,411.69 จุด นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยเช้านี้ซบเซา ดัชนีฯ ผันผวนในกรอบภาพรวมยังไม่เปลี่ยน หลัง GDP ไทยไตรมาส 2/58 ออกมา Inline ภาพเศรษฐกิจยังซบเซา-ต่างชาติยังขาย หลังหมดช่วงประกาศงบฯ ด้านตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่อิงไปทางลบ ช่วงนี้แนะติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ-จีน บ่ายนี้คาดตลาดฯ ซึมต่อ
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) สัปดาห์นี้น่าจะอยู่ในกรอบ 1,390-1,430 จุด และแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผลสูง และหุ้นที่มีเรื่องราวชัดเจน เช่น หุ้นฟื้นตัว และหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรสูง
ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ยังคงต้องติดตามผลกระทบจากมาตรการลดค่ากลางอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน หลังจากสัปดาห์ก่อนรัฐบาลจีนได้ลดค่ากลางดังกล่าวลง 1.82% เพื่อช่วยกระตุ้นการส่งออก เนื่องจากในเดือน ก.ค.ตัวเลขส่งออกของจีนหดตัว -8.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อีกทั้งเศรษฐกิจจีนยังมีปัญหาการฟื้นตัว แม้จะมีการใช้มาตรการทั้งการเงิน และการคลังอย่างต่อเนื่องแต่ยังไม่เห็นผล และตลาดหุ้นจีนก็ปรับลดไปมาก
ดังนั้น การที่ปล่อยให้ค่าเงินหยวนผูกค่าเงินติดกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐต่อไป จะทำให้เงินหยวนแข็งค่าตามเงินดอลลาร์ขึ้นไป เนื่องจากสหรัฐฯ ขณะนี้กำลังจะเริ่มดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่สวนทางกับจีน คือ การชะลอการใช้นโยบายทางการเงิน และการคลังลง โดยที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐอยู่ในแนวโน้มแข็งค่าขึ้นไป หากเงินหยวนยังผูกติดกับดอลลาร์สหรัฐ ก็จะพลอยแข็งค่าตามขึ้นไปด้วย ตรงนี้จะส่งผลกระทบให้จีนมีความสามารถในการแข่งขันกับตลาดโลกด้านการส่งออกลดลง
นอกจากนี้ สภาพัฒน์ได้ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ออกมาที่ระดับ 2.8% ซึ่งเป็นไปตามตลาดคาดการณ์ แต่ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของ GDP ปี 58 เหลือโต 2.7-3.2% จากเดิมคาดว่าจะเติบโต 3-4% หลังมองว่าการส่งออกในปีนี้จะติดลบถึง -3.5% จากเดิมคาดว่าจะเติบโตได้ 0.2% และการนำเข้าจะติดลบ -5.5% จากเดิมคาดเติบโต 0.8% ซึ่งน่าจะส่งผลกลางๆ ต่อตลาดหุ้นไทย