“สมจินต์” มองกำไร บจ. ยังสามารถเติบโตในระดับเฉลี่ยที่ 8-12% และมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปเป็น 10-12% เผยระดับดัชนีในปัจจุบันถือว่าราคาไม่แพง และช่วงที่มีความเหมาะสมในการเข้าซื้อหุ้นสะสม ที่ระดับดัชนี 1,400 จุด พร้อมเชื่อว่า การลงทุนภาครัฐจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และดัชนีหุ้นไทยน่าจะผ่าน 1,500 จุด ส่วนการประชุม กนง. วันที่ 5 ส.ค.นี้ คาดจะคง ดบ. ที่ระดับ 1.5%
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย มุมมองตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมานับว่าเป็นช่วงการปรับฐาน ตามการประมาณการของหลายๆ ฝ่ายที่คาดว่า การทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะปรับตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ระยะยาวการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังสามารถเติบโตในระดับเฉลี่ยที่ 8-12% และมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปเป็น 10-12% ทำให้มองว่า ระดับดัชนีในปัจจุบันถือว่าราคาไม่แพง และช่วงที่มีความเหมาะสมในการเข้าซื้อหุ้นสะสม โดยเชื่อว่าการลงทุนภาครัฐจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
สำหรับการประชุมของคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) ในวันที่ 5 ส.ค.นี้ คาดว่า กนง.อาจจะเลือกคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50% หรือมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งหากดูจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว และราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
“เรามองว่า ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันก็ถือว่าเหมาะสม และสามารถประคองเศรษฐกิจไทยได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังชะลออยู่ และราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ ก็อาจจะมีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง โดยเราเชื่อว่าทาง กนง.จะมีการประเมินสถานการณ์ต่างๆ และตัดสินอย่างเหมาะสม” นายสมจินต์ กล่าว
ด้านนายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,400 -1,500 จุด
อย่างไรก็ตาม หากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐมีความชัดเจน เชื่อว่า ดัชนีหุ้นไทยก็มีโอกาสที่จะทะลุ 1,500 จุดขึ้นไป โดยมองว่า ช่วงที่เหลือของปีนี้การเคลื่อนไหวของดัชนีจะไม่หวือหวา เพราะยังมีปัจจัยภายในประเทศที่กดดันอยู่ทั้งเรื่องปัญหามาตรฐานการบิน และการประมง นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจจะมีผลต่อการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นผลกระทบมากนัก เนื่องจากปัจจุบันเงินทุนต่างชาติเหลืออยู่ในไทยไม่มากแล้ว
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนเข้าลงทุนในช่วงเดือน ก.ย. หลังจากที่มีความชัดเจนเรื่องอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ แล้ว โดยให้ทยอยสะสมหุ้นที่ระดับดัชนี 1,400 จุด สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการลดหย่อนภาษีแนะลงทุนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ สำหรับตลาดต่างประเทศที่น่าสนใจ อาทิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ยุโรป ที่มีมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ก่อนหน้านี้ และตลาดหุ้นเอเชียที่ P/E อยู่ในระดับต่ำ
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย มุมมองตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมานับว่าเป็นช่วงการปรับฐาน ตามการประมาณการของหลายๆ ฝ่ายที่คาดว่า การทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะปรับตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ระยะยาวการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังสามารถเติบโตในระดับเฉลี่ยที่ 8-12% และมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปเป็น 10-12% ทำให้มองว่า ระดับดัชนีในปัจจุบันถือว่าราคาไม่แพง และช่วงที่มีความเหมาะสมในการเข้าซื้อหุ้นสะสม โดยเชื่อว่าการลงทุนภาครัฐจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
สำหรับการประชุมของคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) ในวันที่ 5 ส.ค.นี้ คาดว่า กนง.อาจจะเลือกคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50% หรือมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งหากดูจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว และราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
“เรามองว่า ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันก็ถือว่าเหมาะสม และสามารถประคองเศรษฐกิจไทยได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังชะลออยู่ และราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ ก็อาจจะมีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง โดยเราเชื่อว่าทาง กนง.จะมีการประเมินสถานการณ์ต่างๆ และตัดสินอย่างเหมาะสม” นายสมจินต์ กล่าว
ด้านนายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,400 -1,500 จุด
อย่างไรก็ตาม หากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐมีความชัดเจน เชื่อว่า ดัชนีหุ้นไทยก็มีโอกาสที่จะทะลุ 1,500 จุดขึ้นไป โดยมองว่า ช่วงที่เหลือของปีนี้การเคลื่อนไหวของดัชนีจะไม่หวือหวา เพราะยังมีปัจจัยภายในประเทศที่กดดันอยู่ทั้งเรื่องปัญหามาตรฐานการบิน และการประมง นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจจะมีผลต่อการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นผลกระทบมากนัก เนื่องจากปัจจุบันเงินทุนต่างชาติเหลืออยู่ในไทยไม่มากแล้ว
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนเข้าลงทุนในช่วงเดือน ก.ย. หลังจากที่มีความชัดเจนเรื่องอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ แล้ว โดยให้ทยอยสะสมหุ้นที่ระดับดัชนี 1,400 จุด สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการลดหย่อนภาษีแนะลงทุนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ สำหรับตลาดต่างประเทศที่น่าสนใจ อาทิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ยุโรป ที่มีมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ก่อนหน้านี้ และตลาดหุ้นเอเชียที่ P/E อยู่ในระดับต่ำ