ซีอีโอ บล.เอเซีย พลัส ยันตลาดหุ้นไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะตลาดหมี แม้ดัชนีฯ ที่ปรับลดลงตั้งแต่ต้นปีไปแล้ว 6% ย้ำดัชนีหุ้นไทยยังเหมาะสมต่อการลงทุน คาดแนวรับจิตวิทยาที่ 1,400 จุด ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือนี้ต้องติดตามเรื่องผลประกอบการไตรมาส 3 ว่าจะเป็นอย่างไร
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) พูดถึงภาวะตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันที่ดัชนีปรับตัวลงมา 6% ยังไม่เข้าสู่ภาวะตลาดหมี หรือ bear market ซึ่งนิยามว่า ดัชนีต้องลดลงอย่างน้อย 20% แต่ SET index ยังไม่ลดลงถึงขั้นนั้น
ส่วนตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ นักลงทุนยังต้องติดตามเรื่องผลประกอบการไตรมาส 3 ว่าจะเป็นอย่างไร แต่คาดว่าดัชนีฯ น่าอยู่ในลักษณะทรงตัว เพราะมองราคาหุ้นน่าจะตอบรับต่อปัจจัยเชิงลบไปพอสมควรแล้ว
นายก้องเกียรติ มองดัชนีฯ ที่ระดับ 1,400 จุด มี P/E ที่ 15 เท่า ถือว่าเป็นระดับที่พอรับได้ในการลงทุน
สำหรับปัจจัยที่พลิกให้ตลาดหุ้นจะกลับมาเป็นเชิงบวกได้ต้องขึ้นอยู่กับผลประกอบ บจ.ว่า จะฟื้นตัวได้เมื่อใด ขณะที่ปัจจัยภายนอกยังไม่น่าห่วง ส่วนหุ้นจีนที่ลดลงยังไม่ถึงขั้นต้องกังวลว่าจะกระทบในภาพรวมของเศรษฐกิจจีน เพราะทางการน่าจะยังใช้มาตรการประคองตลาดหุ้นไม่ให้ร่วงลงไปกว่านี้
“สำหรับตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ดัชนีปรับตัวลดลงมา 6% ซึ่งถือว่ายังไม่เข้าสู่ภาวะตลาดหมี ซึ่งปกติตลาดหมีดัชนีจะลงมา 20% ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือนี้ต้องติดตามเรื่องผลประกอบการไตรมาส 3 ว่าจะเป็นอย่างไร มองว่าดัชนีจะทรงตัวได้หากไม่มีปัจจัยลบใหม่เข้ามากดดัน โดยตลาดหุ้นไทยที่ระดับ 1,400 จุด มี P/E ที่ 15 เท่า ถือว่าเป็นระดับที่พอรับได้” นายก้องเกียรติ กล่าว พร้อมคาดการณ์ระดับดัชนีสิ้นปี 2558 ที่ 1,497.67 จุด
บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด สรุปสภาวะตลาดวันที่ 29 กรกฎาคม 2558 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,095.15-1,099.05 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ภายในประเทศขายออกอยู่ที่ 18,200 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 50 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 18,150 บาทต่อบาททองคำ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFQ15 อยู่ที่ 18,280 บาท โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 50 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 18,220 บาท
GFMS ในเครือธอมสัน รอยเตอร์ เปิดเผยว่า ความต้องการทองคำทั่วโลกในไตรมาส 2 ลดลงสู่ระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2009 ความต้องการทองคำในตลาดส่งมอบปัจจุบันไม่ได้เพิ่มขึ้น แม้การดิ่งลงของราคาทองคำจะทรงตัวใกล้ระดับต่ำสุดตั้งแต่ต้นปี 2010 แรงซื้อทองคำจากจีน และอินเดียซึ่งเป็นผู้ใช้ทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลกยังคงชะลอตัว
ขณะที่ในตลาดทองคำยังคงมีปัจจัยลบต่อเนื่อง เมื่อคณะกรรมการการค้าสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ (CFTC) ของสหรัฐฯ รายงานว่า ผู้จัดการกองทุน และกองทุนเฮดจ์ฟันด์หันมาถือครองสถานะขายสุทธิในสัญญาทองคำสูงถึง 11,345 สัญญา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2006 ที่นักเก็งกำไรหันมาถือครองสถานะขายสุทธิ และสิ่งนี้ส่งผลให้ราคาทองคำเผชิญต่อความเสี่ยงจากแรงขายในระยะใกล้ เบื้องต้น หากราคาทองคำขึ้นทดสอบบริเวณ 1,105-1,120 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ไม่สามารถผ่านแนวต้านดังกล่าวไปได้ ก็จะเห็นการย่อตัวของราคากลับลงมาบริเวณแนวรับ ยังแนะนำการลงทุนจากการเก็งกำไรระยะสั้น
กลยุทธ์การลงทุน วายแอลจี แนะนำ หากราคาทองคำยืนเหนือบริเวณแนวรับ 1,085 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สามารถเข้าซื้อสะสมเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น เมื่อราคาทองคำขยับขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,105-1,120 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากไม่ผ่านราคาอาจจะมีการอ่อนตัวลงอีกครั้ง โดยนักลงทุนที่รอซื้อทองคำอาจรอดูการตั้งฐานของราคาโดยประเมินแนวรับไว้ที่ 1,075-1,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนะนำนักลงทุนในระยะสั้น และระยะกลางหากราคาการย่อตัวลงมา และสามารถตั้งฐานบริเวณแนวรับดังกล่าวได้แข็งแกร่งสามารถเข้าสะสมทองคำเพิ่มเติมบางส่วน