EASTW คาดรายได้รวมปีนี้ เติบโตได้ 10% แจงเลื่อนส่ง UU เข้าตลาดหุ้นเป็น Q1/59 เพราะต้องรอที่ประชุมผู้ถือหุ้น 14 ส.ค.นี้ มั่นใจยื่นไฟลิ่งให้ ก.ล.ต. ได้ต้นเดือน ก.ย.นี้
นายนำศักดิ์ วรรณวิสูตร รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (ESATW) เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้รวมปีนี้จะเติบโตได้ถึง 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 4,300 ล้านบาท และกำไรสุทธิเติบโตทิศทางเดียวกัน เป็นการเติบโตตามปริมาณจำหน่ายน้ำ (น้ำดิบและน้ำประปา) ทั้งปีอยู่ที่ 300 ล้านลูกบาศก์เมตร เติบโต 10% จากปีก่อน นับเป็นการขยายตัวมากกว่าปกติที่จะเติบโตปีละ 6-7% เนื่องจากปีนี้ประสบปัญหาภัยแล้งยาวนาน
โดยครึ่งแรกปีนี้ปริมาณขายน้ำเติบโตแล้ว 10% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะการใช้น้ำดิบสำหรับลูกค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ในช่วงปลายเดือน ก.ค. ถึงต้นเดือน ส.ค. ปริมาณน้ำฝนยังมีไม่มาก ทำให้คาดว่าครึ่งหลังของปีนี้ปริมาณการใช้น้ำจะใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก และปัญหาภัยแล้งที่ยังคงมีอยู่ก็น่าจะช่วยผลักดันให้ปริมาณขายน้ำในปี 59 เติบโตได้ 10% จากปีนี้ด้วย
สำหรับพื้นที่ จ.ระยองนั้น ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่จำนวนมากนั้น บริษัทได้มีโครงการขยายการลงทุนในอ่างเก็บน้ำประแสร์ 2 ซึ่งได้วางท่อเรียบร้อยแล้ว และสร้างอ่างเก็บน้ำทับมาเพิ่มเติม โดยทั้ง 2 โครงการใหญ่นี้จะเพิ่มปริมาณน้ำได้อีก 150 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี เมื่อรวมกับอ่างเก็บน้ำเดิมของบริษัทก็เชื่อว่าจะรองรับความต้องการใช้น้ำในปี 59 ที่น่าจะยังประสบภัยแล้งอยู่ได้
"เชื่อมั่นว่าจังหวัดระยอง และชลบุรีจะไม่มีปัญหาขาดน้ำ ตอนนี้มาจากหนองปลาไหล ส่วนจังหวัดฉะเชิงเทราก็อยู่ในเกณฑ์ที่พอไปได้ ได้รับอุดหนุนจากกรมชลประทาน นำน้ำจากบางพระมาช่วย ส่วนนี้ปริมาณน้ำพอ บวกกับสถานการณ์น้ำต้นน้ำ บางปะกงเริ่มจืดแล้วก็จะดันมาช่วยได้ ซึ่งไม่เกิน 10 สิงหาคมนี้ จะสามารถสูบน้ำจากบางปะกงมาเสริมที่บางพระได้ ก็จะแก้ปัญหาจังหวัดฉะเชิงเทราและชลบุรีได้"นายนำศักดิ์ กล่าว
นายนำศักดิ์ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทใช้งบลงทุน 1,500-2,000 ล้านบาท ตามแผนซึ่งเป็นงบต่อเนื่องในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำประแสร์ 2 และอ่างเก็บน้ำทับมา ซึ่งในส่วนของอ่างเก็บน้ำประแสร์ 2 ได้วางท่อเสร็จแล้ว 100% และกำลังเร่งสร้างโรงสูบน้ำอยู่ ซึ่งเมื่อ 2 โครงการใหญ่ดังกล่าวแล้วเสร็จในปี 60 บริษัทก็อาจจะพิจารณาปรับค่าน้ำต่อไป
สำหรับการลงทุนในต่างประเทศนั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างยื่นขอใบอนุญาตกับทางการเมียนมาร์เพื่อทำธุรกิจน้ำประปาใน 2 เมือง ถ้าได้รับอนุมัติก็จะดำเนินการทั้ง 2 โครงการ โดยตั้งลงทุนไว้แห่งละ 200-300 ล้านบาท และจะต้องหาพันธมิตรที่เป็นเอกชนท้องถิ่นเข้าร่วมดำเนินการ โดย เบื้องต้นบริษัทต้องการถือหุ้น 70% ซึ่งคาดได้ข้อสรุปปี 59
ส่วนการเข้าซื้อกิจการโครงการผลิตน้ำประปาในลาวนั้น ขณะนี้ติดปัญหาเรื่องราคา ทำให้บริษัทหันมาพิจารณาการลงทุนในเมียนร์มาร์ก่อน แต่ก็ยังไม่ทิ้งโอกาสมองหาการลงทุนในลาวอยู่ต่อไป
"การลงทุนต่างประเทศตอนนี้ติดตามโครงการสัมปทานขยายไปเมียนมาร์ โดยขอ MIC อยู่ปกติสัมปทานจะ 30-40 ปี การลงทุนในต่างประเทศจะให้ EASTW ไปก่อนเพราะด้วยขนาดของธุรกิจ คาดว่าปี 59 จะเห็นการลงทุน ตั้งงบไว้ 200-300 ล้านบาทต่อโครงการ ซึ่งจะเป็นการไปตั้งโรงงานผลิตน้ำประปา วางท่อจ่ายน้ำ ต้องร่วมกับพันธมิตร แต่เราอยากถือหุ้นมากกว่า 50% ส่วนที่ลาวที่เจรจาซื้อกิจการยังไม่จบ ประเด็นอยู่ที่ราคา"นายนำศักดิ์ กล่าว
นายนำศักดิ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับแผนการนำบริษัท ยูนิเวอร์แซล ยูทีลิตี้ส์ จำกัด (UU) ซึ่งเป็นบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น คาดว่าจะสามารถนำเข้าซื้อขายได้ประมาณไตรมาส 1/59 ล่าช้าจากเดิมที่คาดว่าจะเข้าซื้อขายได้ประมาณไตรมาส 4/58 เนื่องจากต้องรอผู้ถือหุ้นอนุมัติให้ UU เข้าซื้อหุ้นในบริษัท เอ็กคอมธารา จำกัดเพิ่มเป็น 90% จากเดิมถือ 15.09% ก่อน โดยจะมีการประชุมผู้ถือหุ้น 14 ส.ค.นี้ และคาดว่าจะยื่นแบบเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) หรือยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ต้นเดือน ก.ย.58
นายนำศักดิ์ วรรณวิสูตร รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (ESATW) เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้รวมปีนี้จะเติบโตได้ถึง 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 4,300 ล้านบาท และกำไรสุทธิเติบโตทิศทางเดียวกัน เป็นการเติบโตตามปริมาณจำหน่ายน้ำ (น้ำดิบและน้ำประปา) ทั้งปีอยู่ที่ 300 ล้านลูกบาศก์เมตร เติบโต 10% จากปีก่อน นับเป็นการขยายตัวมากกว่าปกติที่จะเติบโตปีละ 6-7% เนื่องจากปีนี้ประสบปัญหาภัยแล้งยาวนาน
โดยครึ่งแรกปีนี้ปริมาณขายน้ำเติบโตแล้ว 10% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะการใช้น้ำดิบสำหรับลูกค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ในช่วงปลายเดือน ก.ค. ถึงต้นเดือน ส.ค. ปริมาณน้ำฝนยังมีไม่มาก ทำให้คาดว่าครึ่งหลังของปีนี้ปริมาณการใช้น้ำจะใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก และปัญหาภัยแล้งที่ยังคงมีอยู่ก็น่าจะช่วยผลักดันให้ปริมาณขายน้ำในปี 59 เติบโตได้ 10% จากปีนี้ด้วย
สำหรับพื้นที่ จ.ระยองนั้น ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่จำนวนมากนั้น บริษัทได้มีโครงการขยายการลงทุนในอ่างเก็บน้ำประแสร์ 2 ซึ่งได้วางท่อเรียบร้อยแล้ว และสร้างอ่างเก็บน้ำทับมาเพิ่มเติม โดยทั้ง 2 โครงการใหญ่นี้จะเพิ่มปริมาณน้ำได้อีก 150 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี เมื่อรวมกับอ่างเก็บน้ำเดิมของบริษัทก็เชื่อว่าจะรองรับความต้องการใช้น้ำในปี 59 ที่น่าจะยังประสบภัยแล้งอยู่ได้
"เชื่อมั่นว่าจังหวัดระยอง และชลบุรีจะไม่มีปัญหาขาดน้ำ ตอนนี้มาจากหนองปลาไหล ส่วนจังหวัดฉะเชิงเทราก็อยู่ในเกณฑ์ที่พอไปได้ ได้รับอุดหนุนจากกรมชลประทาน นำน้ำจากบางพระมาช่วย ส่วนนี้ปริมาณน้ำพอ บวกกับสถานการณ์น้ำต้นน้ำ บางปะกงเริ่มจืดแล้วก็จะดันมาช่วยได้ ซึ่งไม่เกิน 10 สิงหาคมนี้ จะสามารถสูบน้ำจากบางปะกงมาเสริมที่บางพระได้ ก็จะแก้ปัญหาจังหวัดฉะเชิงเทราและชลบุรีได้"นายนำศักดิ์ กล่าว
นายนำศักดิ์ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทใช้งบลงทุน 1,500-2,000 ล้านบาท ตามแผนซึ่งเป็นงบต่อเนื่องในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำประแสร์ 2 และอ่างเก็บน้ำทับมา ซึ่งในส่วนของอ่างเก็บน้ำประแสร์ 2 ได้วางท่อเสร็จแล้ว 100% และกำลังเร่งสร้างโรงสูบน้ำอยู่ ซึ่งเมื่อ 2 โครงการใหญ่ดังกล่าวแล้วเสร็จในปี 60 บริษัทก็อาจจะพิจารณาปรับค่าน้ำต่อไป
สำหรับการลงทุนในต่างประเทศนั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างยื่นขอใบอนุญาตกับทางการเมียนมาร์เพื่อทำธุรกิจน้ำประปาใน 2 เมือง ถ้าได้รับอนุมัติก็จะดำเนินการทั้ง 2 โครงการ โดยตั้งลงทุนไว้แห่งละ 200-300 ล้านบาท และจะต้องหาพันธมิตรที่เป็นเอกชนท้องถิ่นเข้าร่วมดำเนินการ โดย เบื้องต้นบริษัทต้องการถือหุ้น 70% ซึ่งคาดได้ข้อสรุปปี 59
ส่วนการเข้าซื้อกิจการโครงการผลิตน้ำประปาในลาวนั้น ขณะนี้ติดปัญหาเรื่องราคา ทำให้บริษัทหันมาพิจารณาการลงทุนในเมียนร์มาร์ก่อน แต่ก็ยังไม่ทิ้งโอกาสมองหาการลงทุนในลาวอยู่ต่อไป
"การลงทุนต่างประเทศตอนนี้ติดตามโครงการสัมปทานขยายไปเมียนมาร์ โดยขอ MIC อยู่ปกติสัมปทานจะ 30-40 ปี การลงทุนในต่างประเทศจะให้ EASTW ไปก่อนเพราะด้วยขนาดของธุรกิจ คาดว่าปี 59 จะเห็นการลงทุน ตั้งงบไว้ 200-300 ล้านบาทต่อโครงการ ซึ่งจะเป็นการไปตั้งโรงงานผลิตน้ำประปา วางท่อจ่ายน้ำ ต้องร่วมกับพันธมิตร แต่เราอยากถือหุ้นมากกว่า 50% ส่วนที่ลาวที่เจรจาซื้อกิจการยังไม่จบ ประเด็นอยู่ที่ราคา"นายนำศักดิ์ กล่าว
นายนำศักดิ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับแผนการนำบริษัท ยูนิเวอร์แซล ยูทีลิตี้ส์ จำกัด (UU) ซึ่งเป็นบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น คาดว่าจะสามารถนำเข้าซื้อขายได้ประมาณไตรมาส 1/59 ล่าช้าจากเดิมที่คาดว่าจะเข้าซื้อขายได้ประมาณไตรมาส 4/58 เนื่องจากต้องรอผู้ถือหุ้นอนุมัติให้ UU เข้าซื้อหุ้นในบริษัท เอ็กคอมธารา จำกัดเพิ่มเป็น 90% จากเดิมถือ 15.09% ก่อน โดยจะมีการประชุมผู้ถือหุ้น 14 ส.ค.นี้ และคาดว่าจะยื่นแบบเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) หรือยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ต้นเดือน ก.ย.58