นายสันติ กีระนันนท์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาดและดูแลสายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวถึงมูลค่าของ Demand และ Supply ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในรอบครึ่งปีแรกว่า มีบัญชีนักลงทุนเปิดใหม่ 70,000 บัญชี โดยในนี้จะมี 30,000 บัญชีเป็นของนักลงทุนรายใหม่ที่เพิ่มเริ่มลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นครั้งแรก
“ตัวเลขเป้าหมายรวมในปีนี้กำหนดไว้ที่ 95,000 ล้านบัญชี โดยสันติคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีน่าจะใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทั้งนี้ จะยังไม่มีการปรับเป้าผลการดำเนินงานในปีนี้ โดยสัปดาห์หน้าคงติดตามผลตั้งแต่เดือน ม.ค.-มิ.ย. เป็นการภายในก่อน ถ้าหากมีเหตุอันควรให้ปรับจึงจะปรับ”
ด้านการเปิดบัญชีเพื่อลงทุนผ่านอินเทอร์เน็ต (Internet Trading) ของนักลงทุนในปีนี้ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างสูง คือ 75% จากยอดรวมการเปิดบัญชีเพื่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของนักลงทุน ซึ่งมีทั้งสิ้น 1,117,000 บัญชี นายสันติ เชื่อว่า นักลงทุนจะเลือกใช้ระบบ Internet trading ในการซื้อขายหุ้นและเพื่อหาข้อมูลมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากการดาวน์โหลด Set-Ebook ที่ตลาดหลักทรัพย์ได้เริ่มเปิดให้บริการครั้งแรกตั้งแต่ปี 2012 จนถึงปัจจุบันมีทั้ง 60,000 ครั้ง และให้บริการดาวน์โหลด Set-Oppday ที่เริ่มต้นในเดือน เม.ย. 2558 ถึงปัจจุบันมียอดการดาวน์โหลด 25,000 ครั้งผ่าน App Store และร้านค้า Playstore ของ Android
“หลังจากนี้จะเป็นแผนการทำงานที่เกี่ยวกับ technical class และการทำงานกับกลุ่มธนาคารและลูกค้าออนไลน์ของแบงก์ซึ่งจะเป็นฐานใหญ่ที่มีผู้ใช้ประมาณ 10 ล้านราย”
นอกจากนี้ เขายังบอกถึงมูลค่าการซื้อขายตราสารทุนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 จะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 51,000 ล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 47,000 ล้านบาท และมูลค่าการซื้อขายในตลาด mai 4,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่เคยวางไว้ที่ 52,000 ล้านบาท เนื่องจากเคยได้รับอานิสงส์บวกจากการซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงครึ่งปีแรกก่อนที่จะเริ่มได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดฯ อย่างหนักในช่วงเดือน มิ.ย.-พ.ค. ที่ผ่านมา จนทำให้มูลค่าการซื้อขายอยู่ในระดับต่ำมาก
นายสันติ ยังกล่าวถึง Market Cap ในครึ่งแรกของปีนี้ จะอยู่ที่ 160,000 ล้านบาท เทียบกับเป้า 250,000 ล้านบาท โดยมีสาเหตุจากในปีนี้จะมีหุ้นของกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มากกว่าการเข้าระดมทุนใหม่ๆ จากบริษัทจดทะเบียนในตลาดที่สามารถสร้างความเติบโตให้แก่ตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากการออกหุ้นโดยบริษัทจดทะเบียนนั้นไม่มีวันหมดอายุตามโครงการการลงทุนอย่างหนึ่งอย่างใดเหมือนในกรณีของกองทุน
ขณะที่ผลการดำเนินงานของตลาด TFEX นั้น นายสันติ ระบุว่า จะมีการขายสัญญาของกลุ่ม Single Stock Futures เป็นจำนวนราวๆ 800,000 สัญญาต่อวัน ส่วนในกลุ่ม Set-50 Option ตั้งแต่ไตรมาส 2/2558 จำนวนสัญญาซื้อขายเริ่มมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1,000 สัญญาต่อวันจากเดิมที่มีการซื้อขายกว่า 100 สัญญาต่อวัน ส่วนการรวมการซื้อขายระหว่างตลาด TFEX และ AFEX นั้นคาดว่า น่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 4/2558 โดยจะในปลายปีนี้ก็จะเริ่มเปิดให้มีการซื้อขายยางแผ่นรมควันชั้น 3
อย่างไรก็ตาม เขามองว่า หลังการรวมกันแล้ว จำนวนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดใน TFEX คงมีไม่มากนัก เนื่องจากคนที่จะใช้สัญญา Futures บนสินค้าโภคภัณฑ์นั้นจะมีน้อยมากเมื่อเทียบกับการซื้อขายทางด้านเงินในรูปของการทำสัญญาล่วงหน้า โดยสันติ บอกว่า ตลาด AFEX คงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อสนับสนุนให้เกิดความต้องการในการซื้อขายสัญญา