ชี้เศรษฐกิจครึ่งปีแรกยังไม่ฟื้น ภาวะเงินฝืดเกิดต่อเนื่อง แบงก์เข้มปล่อยกู้ ส่งผลยอดปฏิเสธสินเชื่อพุ่ง ปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำ ความเชื่อมั่นหดตัว กดกำลังซื้อ ลูกค้าชะลอปลูกสร้างบ้าน และลดขนนาดบ้านเล็กลง กระทบตลาดรับสร้างบ้านหดตัวตาม “พีดีเฮ้าส์” เผยครึ่งปีแรกยอดขาย 700 ล้านบาท ต่ำเป้า 30% เชื่อปัจจัยลบกดตลาดต่อ สั่งปรับลดเป้ายอดขายปี 58 เหลือ 1,600 ล้าน จากเดิม 1,700 ล้านบาท ประกาศปรับกลยุทธ์ครึ่งปีหลังบุกตลาดบ้านอนุรักษ์พลังงานรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมอัดแคมเปญส่งเสริมการขายเจาะกลุ่ม หมอ วิศวกร นักธุรกิจ ดันยอดขายครึ่งปีหลังเข้าเป้า 900 ล้านบาท
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกที่ยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับภาวะเงินฝืดในปัจจุบันทำให้ในช่วงครึ่งปีแรกลูกค้ายังชะลอการตัดสินใจสร้างบ้าน หรือมีการเปลี่ยนมาสร้างบ้านขนาดเล็กลง นอกจากนี้ ผลกระทบจากราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ และความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ปรับลดลง ภายหลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดประมาณการตัวเลขจีดีพีของปีนี้จาก 3.8% เหลือ 3% ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินก็เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการปฏิเสธสินเชื่อ หรือหากอนุมัติวงก็เงินที่ต่ำลง เนื่องจากสถาบันการเงินประเมินความเสี่ยงในการปล่อยกู้สูงขึ้น ทำให้บริษัทประเมินกดราคาสินทรัพย์ลงด้วย
จากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้ครึ่งปีแรกตลาดรับสร้างบ้านชะลอตัวลง คาดว่าตัวเลขตลาดรวมทั้งปี 58 จะอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท จากเดิมที่ประมาณการว่าจะขยายตัวประมาณ 10% หรือมีมูลค่าตลาดรวมที่ 17,000 ล้านบาท ขณะที่ในครึ่งแรกของปี พีดี เฮ้าส์ฯ เองก็มียอดขายลดลงกว่า 30% จากประมาณการรายได้ทั้งปี ทำให้บริษัทมีการปรับเป้ายอดขายของปีนี้ลงมาอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท จากเดิมที่มีเป้ายอดขายรวมที่ 1,700 ล้านบาท โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรวมที่ 700 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังปรับลดเป้าการเปิดสาขาใหม่ในปีนี้จาก 5 สาขา เหลือ 1-2 สาขา เพื่อให้สอดรับต่อสภาพตลาด
“ปัจจุบัน พีดีฯ มียอดจองทำสัญญาก่อสร้างบ้านในมือ 400 หลัง ราคาเฉลี่ย 4-5 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายของตลาด กทม.ในสัดส่วน 15-20% ส่วนที่เหลือ 75-80% เป็นยอดขายจากตลาดต่างจังหวัด”
ทั้งนี้ กำลังซื้อของลูกค้าที่ตกลงทำให้ลูกค้าหันมาสร้างบ้านหลังเล็กลง ส่งผลให้กลุ่มบ้านระดับราคา 2 ล้านบาท ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น โดยในปีที่ผ่านมา บ้านราคา 2 ล้านบาท มีแชร์ตลาดรวมอยู่ที่ 20% แต่ในครึ่งแรกของปีนี้ขยับเพิ่มมาเป็น 30% ในขณะที่ลูกค้ากลุ่มบ้าน 2 ล้านบาทของพีดีฯ ก็มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นเป็น 30% จากเดิมในปี 57 ที่ผ่านมา มีแชร์ยอดขายรวมเพียง 10% เท่านั้น ซึ่งสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่ากำลังซื้อลูกค้าในครึ่งปีแรกหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในครึ่งหลังของปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายเข้ามาไม่ต่ำกว่า 900 ล้านบาท พร้อมกันนี้ เพื่อผลักดันให้ยอดขายของครึ่งปีหลังเป็นไปตามเป้าหมาย บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ โดยหันไปผลักดันบ้านอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม เจาะราคาเริ่มต้น 3 ล้านบาทขึ้นไป โดยมีกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงในกลุ่มวิชาชีพ วิศวกร เจ้าของธุรกิจ นักธุรกิจ และแพทย์เป็นเป้าหมายหลัก โดยในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนจะจัดแคมเปญพิเศษเพื่อส่งเสริมตลาดบ้านอนุรักษ์พลังงานและรักสิ่งแวดล้อม
“บ้านอนุรักษ์พลังงานและรักสิ่งแวดล้อมถือเป็นจุดแข็งของ พีดี เฮ้าส์ ซึ่งที่ผ่านมา ยังไม่มีบริษัทไหนเน้นตลาดนี้อย่างจริงจัง ดังนั้น การจัดแคมเปญส่งเสริมการขายตลาดนี้ในช่วงครึ่งปีหลังจึงเป็นการสร้างภาพที่ชัดเจนในตัวบริษัท และสินค้าที่บริษัทมีความถนัด และเป็นจุดแข็งของบริษัทที่จะสื่อออกไปให้ลูกค้ากลุ่มดังกล่าวได้รับรู้ และเข้าถึงมากขึ้น เพราะในภาวะปัจจุบันการปรับตัวของผู้ประกอบการจำเป็นต้องโฟกัสตัวเองให้ชัดว่า มีความถนัดในด้านใด เพื่อกำหนดกลุ่มลูกค้าให้ชัดเจน และทำตลาดได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบหว่านแหซึ่งจะได้ผลตอบรับตรงกันข้าม”
นายปรีชา ศรัทธานนท์กุล ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด กล่าวว่า พีดี เฮ้าส์ฯ มีแผนจะจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อเป็นการกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้าเป้าหมายกลุ่มนี้ โดยลูกค้าที่ตัดสินใจสร้างบ้านภายในเดือนกรกฎาคมนี้จะได้รับโปรโมชันของแถมและมอบส่วนลดเงินสดทันที เช่น 1.แถมฟรี หลอดประหยดไฟฟ้ามูลค่า 1-2 หมื่นบาท ทุกหลัง 2.แถมฟรีเครื่องปรับอากาศมิตซูบิชิ เฮฟวี่ดิวตี้ ขนาด 18,000 บีทียู จำนวน 1-2 เครื่อง มูลค่า 3-6 หมื่นบาท ทุกหลัง 3.ฟรีอัปเกรดวัสดุมุงหลังคาจากกระเบื้องคอนกรีตเป็นกระเบื้องเซรามิก มูลค่า 80,000-400,000 บาท 4.รับทันทีส่วนลดเงินสด 20,000-400,000 บาท ฯลฯ โดยพีดี เฮ้าส์ฯ ตั้งเป้าแคมเปญนี้จะสามารถสร้างยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาท