ปธ.ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อ fund flow รอจังหวะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย เผยเม็ดเงินยังไม่ได้ไปไหน แต่เผยวอลุ่มหดช่วงนี้เกิดจากมาตรการคุมหุ้นร้อน ระบุสัดส่วนมุบค่าเทรดเริ่มเข้าสู่สมดุล นักลงทุนรายย่อยมี 50% ที่เหลือเป็นกองทุนต่างชาติ และพอร์ตโบรกเกอร์ ต่างจากครึ่งหลังปีที่แล้วซึ่งมีสัดส่วนรายย่อยสูงเกินครึ่ง และ 5 อันดับหุ้นที่ซื้อขายสุงสุดเป็นหุ้นที่เก็งกำไร
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คาดว่าเงินทุนไหลเข้า (fund flow) กำลังรอจังหวะการกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้งหากรัฐบาลมีการใช้จ่ายเงินงบประมาณตามกำหนด โดยเฉพาะโครงการลงทุนต่างๆ ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้มีการลงทุนของภาคเอกชนตามมา ซึ่งจะผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศโดยรวมดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้
ขณะที่ความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการออกมาตรการกำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างๆ จะช่วยหนุนให้ตลาดหลักทรัพย์มีความมั่นคง และเกิดการลงทุนแบบมีเหตุผลในระยะยาว
“fund flow ของต่างชาติตอนนี้ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่รอจังหวะถ้าเห็นบริษัทจดทะเบียนมีศักยภาพดี แข็งแกร่งก็เป็นจังหวะที่ต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น” นายสถิตย์ กล่าว
นายสถิตย์ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ไม่ได้มีปัญหา ซึ่งหากภาครัฐมีการลงทุนจริงตามกำหนดก็จะทำให้มีการลงทุนของภาคเอกชนตามมา ส่งผลต่อการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศที่ดีขั้น รวมถึงภาคการส่งออก ภาคการบริการ การท่องเที่ยวก็จะเป็นปัจจัยเสริมเข้ามาด้วย และหากเศรษฐกิจไทยโดยรวมครึ่งปีหลังดีขึ้น การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็จะโดดเด่นขึ้นมาเช่นกัน
ขณะที่มองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล เงินเฟ้ออยู่ในระดับดี ฐานะการคลังยังดีอยู่ ตลอดจนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของทั้งระบบยังอยู่ในระดับเพียง 2% เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ยังอยู่ในระดับที่แข็งแรง ซึ่งปัจจัยทุกอย่างยังมีเสถียรภาพดี รอเพียงการลงทุนภาครัฐ ขณะที่ยังคาดว่าราคาพืชผลทางการเกษตรในช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้นด้วย
สำหรับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ปรับลดลงเหลือราว 40,000 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้จะอยู่ที่ราว 50,000 ล้านบาทนั้น เป็นผลจากมาตรการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต.ร่วมมือกันออกมาตรการให้การซื้อขายในตลาดหุ้นมีเหตุผลมากขึ้น ทั้งมาตรการให้สมาชิกต้องดำเนินการให้ลูกค้าวางเงินสดไว้ล่วงหน้าต่อสมาชิกเต็มจำนวนที่จะซื้อ (Cash Balance) และเกณฑ์ NET SETTLEMENT หรือการระงับการซื้อขายหุ้น ซึ่งมาตรการเหล่านี้เป็นมาตรการที่ได้ผล รวมถึงการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมให้การซื้อขายมีเหตุผล ได้มาตรฐานนำไปสู่ตลาดหลักทรัพย์ที่มั่นคง จะหนุนให้เกิดการลงทุนแบบมีเหตุผลในระยะยาว
ขณะที่หุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุดต่อวัน 5 อันดับแรกในช่วงนี้จะเป็นหุ้นพื้นฐาน และมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันจะอยู่ในกลุ่มรายย่อยราวครึ่งหนึ่ง หรือ 2 หมื่นล้านบาท/วัน ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มกองทุนในประเทศ ต่างชาติ และพอร์ตโบรกเกอร์ ซึ่งถือว่ามีความสมดุลแล้ว จากที่ในช่วงครึ่งหลังปีที่แล้วหุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรกเป็นหุ้นเก็งกำไร และมูลค่าการซื้อขายส่วนใหญ่จะอยู่ที่นักลงทุนรายย่อยราว 3 หมื่นล้านบาท/วัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเริ่มมีเสถียรภาพ