ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มเกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์ที่จะเป็นองค์ประกอบของดัชนี SET50 และ SET100 ด้วยการพิจารณาปริมาณซื้อขายของหลักทรัพย์เป็นการเพิ่มเติม เริ่มใช้ตั้งแต่รอบทบทวน มิ.ย.2558 เป็นต้นไป พร้อมปรับการคำนวณดัชนีผลตอบแทนรวม (Total Return Index: TRI) ตั้งแต่ 1 ก.ค.2558 เป็นต้นไป
ดร.สันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะปรับเกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์เพื่อเป็นองค์ประกอบของดัชนี SET50 และ SET100 โดยจะพิจารณาสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่มีการซื้อขายเทียบกับจำนวนหุ้นจดทะเบียนของบริษัทเป็นการเพิ่มเติม จากเกณฑ์ปัจจุบันที่พิจารณาเฉพาะมูลค่าซื้อขายของหลักทรัพย์เทียบกับมูลค่าซื้อขายของตลาดโดยรวม ทั้งนี้ จะเริ่มใช้ตั้งแต่รอบการทบทวนดัชนีเดือนมิถุนายน 2558 เพื่อใช้ในการคำนวณดัชนีระหว่างเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2558 เป็นต้นไป
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับข้อสังเกตจากผู้ใช้ดัชนีหลายราย รวมทั้งศึกษาแนวทางของตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำต่างๆ จึงได้พิจารณาการทบทวนเกณฑ์ที่ใช้ในการคัดเลือกหลักทรัพย์มาเป็นองค์ประกอบของดัชนี โดยเน้นให้หลักทรัพย์ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นองค์ประกอบของดัชนีเป็นหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องและซื้อขายได้ (Tradable) ทั้งนี้ เกณฑ์ใหม่จะพิจารณาปริมาณซื้อขายของหลักทรัพย์เป็นการเพิ่มเติม ขณะที่เกณฑ์ด้านอื่นๆ ยังคงเดิม ได้แก่ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) การกระจายของผู้ถือหลักทรัพย์รายย่อย (Free Float) และมูลค่าซื้อขายของหลักทรัพย์เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดโดยรวม เพราะเป็นหลักการที่สอดคล้องต่อผู้จัดทำดัชนีรายอื่นๆ อยู่แล้ว” ดร.สันติ กล่าว
ทั้งนี้ หลักทรัพย์ที่จะได้รับการคัดเลือกให้เป็นองค์ประกอบของดัชนี SET50 และดัชนี SET100 ต้องอยู่ในกลุ่มของหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงสุด 200 ลำดับแรก มี Free Float ไม่น้อยกว่า 20% มีมูลค่าซื้อขายตามสภาพปกติอย่างต่อเนื่อง คือ ไม่น้อยกว่า 50% ของมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อหลักทรัพย์ทั้งตลาดเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 9 ใน 12 เดือน และมีจำนวนหุ้นที่มีการซื้อขายอย่างน้อย 5% ของหุ้นจดทะเบียนทั้งหมดของบริษัทในเดือนเดียวกัน อย่างไรก็ดี ตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจปรับลดอัตราส่วนมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อหลักทรัพย์ จำนวนเดือน หรืออัตราส่วนจำนวนหุ้นที่มีการซื้อขายลงเพื่อให้ได้จำนวนหลักทรัพย์อย่างน้อย 105 หลักทรัพย์
“นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะปรับปรุงการคำนวณดัชนีผลตอบแทนรวม (Total Return Index : TRI) ซึ่งใช้วัดผลตอบแทนรวมจากการลงทุนในหลักทรัพย์ ทั้งผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหลักทรัพย์ (Capital Gain) และผลตอบแทนจากเงินปันผล โดยจะใช้การเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาในแต่ละวันเป็นเครื่องชี้วัดผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหลักทรัพย์ (Capital Gain) แทนการใช้การเปลี่ยนแปลงมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติเดียวกับสากล อีกทั้งยังทำให้ TRI และดัชนีราคามีความสอดคล้องกัน ทั้งนี้ จะเริ่มคำนวณ TRI ตามวิธีใหม่ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไป” ดร.สันติ กล่าว