xs
xsm
sm
md
lg

“สถิตย์”รับสกัดหุ้นร้อนกดวอลุ่มหุ้นไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – “สถิตย์” ยอมรับผลจากมาตรการสกัดหุ้นร้อนทั้ง Cash Balance การวางหลักประกัน และการระงับการซื้อขาย ทำให้วอลุ่มในตลาดหุ้นไทยลดลง คาดนักลงทุนต่างชาติถือเงินสดรอจังหวะเข้าลงทุน หากรัฐบาลเดินหน้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างเป็นรูปธรรม และเอกชนเริ่มลงทุนต่อเนื่อง
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. ระบุนักลงทุนรายย่อยหันมาซื้อขายหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น จากก่อนหน้าที่นิยมซื้อขายหุ้นเก็งกำไร เห็นได้จากนักลงทุนรายย่อยได้มีการลดการซื้อขายเก็งกำไรเหลือ 2 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากเดิม 3 หมื่นล้านบาทต่อวัน หลังจาก ตลท.และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ออกมาตรการดูแลหุ้นเก็งกำไรที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการ Cash Balance การวางหลักประกัน และการระงับการซื้อขาย ซึ่งถือได้ว่ามาตรการดังกล่าวใช้ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้นักลงทุนหันกลับมาลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มีการเติบโตมั่นคง และนักลงทุนทุกคนจะได้รับผลตอบแทนที่ดี
"ขณะนี้นักลงทุนกลับมาสนใจลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น เห็นได้จากหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรกจะเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ขณะที่มีการเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กและไม่มีปัจจัยพื้นฐานไม่มากนัก โดยปัจจุบันการซื้อขายต่อวันเฉลี่ย 4 หมื่นล้านบาทต่อวัน แบ่งเป็นการลงทุนของนักลงทุนรายย่อย 2 หมื่นล้านบาท และอีก 2 หมื่นล้านบาทเป็นการลงทุนนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ และบัญชีซื้อขายของโบรกเกอร์ เพราะมาตรการกำกับดูแลของตลท.ได้ผล ไม่เกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เพราะปัจจุบันภาพรวมเศรษฐกิจทุกอย่างมีทิศทางที่ดีขึ้น” นายสถิตย์ กล่าว
สำหรับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน ของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ปรับลดลงเหลือราว 40,000 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้จะอยู่ที่ราว 50,000 ล้านบาทนั้น เป็นผลจากมาตรการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯและก.ล.ต.ร่วมมือกัน ออกมาตรการให้การซื้อขายในตลาดหุ้นมีเหตุผลมากขึ้น ทั้งมาตรการให้สมาชิกต้องดำเนินการให้ลูกค้าวางเงินสดไว้ล่วงหน้ากับสมาชิกเต็มจำนวนที่จะซื้อ(Cash Balance) และเกณฑ์ NET SETTLEMENT หรือการระงับการซื้อขายหุ้น ซึ่งมาตรการเหล่านี้เป็นมาตรการที่ได้ผล รวมถึงการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมให้การซื้อขายมีเหตุผล ได้มาตรฐานนำไปสู่ตลาดหลักทรัพย์ที่มั่นคง จะหนุนให้เกิดการลงทุนแบบมีเหตุผลในระยะยาว
ขณะที่หุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุดต่อวัน 5 อันดับแรกในช่วงนี้จะเป็นหุ้นพื้นฐาน และมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน จะอยู่ในกลุ่มรายย่อยราวครึ่งหนึ่ง หรือ 2 หมื่นล้านบาท/วัน ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มกองทุนในประเทศ, ต่างชาติ และพอร์ตโบรกเกอร์ ซึ่งถือว่ามีความสมดุลแล้ว จากที่ในช่วงครึ่งหลังปีที่แล้วหุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรกเป็นหุ้นเก็งกำไร และมูลค่าการซื้อขายส่วนใหญ่จะอยู่ที่นักลงทุนรายย่อยราว 3 หมื่นล้านบาท/วัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเริ่มมีเสถียรภาพ
ประธานกรรมการ ตลท.คาดว่าเงินทุนไหลเข้า (fund flow) กำลังรอจังหวะการกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง หากรัฐบาลมีการใช้จ่ายเงินงบประมาณตามกำหนด โดยเฉพาะโครงการลงทุนต่างๆ ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้มีการลงทุนของภาคเอกชนตามมา ซึ่งจะผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศโดยรวมดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้
" fund flow ของต่างชาติตอนนี้ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่รอจังหวะถ้าเห็นบริษัทจดทะเบียนมีศักยภาพดี แข็งแกร่ง ก็เป็นจังหวะที่ต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น" นายสถิตย์ กล่าว
นายสถิตย์ คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวได้ดีขึ้น หากภาครัฐมีการลงทุนตามกำหนด ก็จะทำให้มีการลงทุนของภาคเอกชนตามมา ส่งผลต่อการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศที่ดีขั้น รวมถึงภาคการส่งออก ภาคการบริการ การท่องเที่ยวก็จะเป็นปัจจัยเสริมเข้ามาด้วย และหากเศรษฐกิจไทยโดยรวมครึงปีหลังดีขึ้น การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯก็จะโดดเด่นขึ้นมาเช่นกัน
“พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล เงินเฟ้ออยู่ในระดับดี ฐานะการคลังยังดีอยู่ ตลอดจนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือNPLของทั้งระบบยังอยู่ในระดับเพียง 2% เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ยังอยู่ในระดับที่แข็งแรง ซึ่งปัจจัยทุกอย่างยังมีเสถียรภาพดี รอเพียงการลงทุนภาครัฐ ขณะที่ยังคาดว่าราคาพืชผลทางการเกษตรในช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้นด้วย” นายสถิตย์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น