นายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนโครงการพัฒนา และบริหารคลังสินค้าและโรงงานเพื่อให้เช่าในประเทศเวียดนาม โดยคาดว่าจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตร 2-3 ในประเทศเวียดนาม โดยการลงทุนจะเป็นลักษณะคล้ายกับการลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย ที่มีขนาดการลงทุนระดับ 1.5 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้ความชัดเจนในช่วงปลายปี 58
นอกจากนี้ บริษัทมีความสนใจที่จะลงทุนโครงการพัฒนา และบริหารคลังสินค้าและโรงงานเพื่อให้เช่าในเมืองย่างกุ้ง ของเมียนมาร์ด้วย ซึ่งบริษัทจะเป็นผู้ดำเนินการลงทุนเองทั้งหมด โดยจะจัดตั้งบริษัทย่อยในเมียนมาขึ้นมา ซึ่งคาดใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือน โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาติดต่อซื้อที่ดิน คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 400-500 ล้านบาท และจะเห็นความชัดเจนในช่วงปี 59
สำหรับเงินลงทุนในการลงทุนต่างประเทศส่วนหนึ่งจะมาจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TREIT) มูลค่า 4 พันล้านบาท ในช่วงไตรมาส 4/58 ซึ่งเลื่อนจากกำหนดเดิมที่จะขายในช่วงไตรมาส 3/58 เนื่องจากกระบวนการจากทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ใช้ระยะเวลานาน นอกจากนี้ บริษัทยังจะออกหุ้นกู้มูลค่า 700-800 ล้านบาท อายุ 3 ปี ในช่วงไตรมาส 3/58 เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะหมดอายุด้วย
นายวีรพันธ์ กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/58 คาดว่าจะเติบโตมากกว่าไตรมาส 1/58 ที่มีรายได้อยู่ที่ 349.64 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 96,000 บาท เนื่องจากมีรายได้จากค่าเช่าเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2/58 จากการที่ลูกค้าเข้ามาเช่าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และการให้เช่าคลังสินค้าแบบ Ready to Built ยังมีลูกค้าสนใจเข้ามาเช่าอย่างต่อเนื่อง
สำหรับรายได้ในปีนี้ยังคงเป้าที่เติบโต 5% จากปีก่อนที่มีรายได้ 5.86 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับลดลงจากเดิมที่เติบโต 10% เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ยอดขายและให้เช่าพื้นที่ในช่วงไตรมาส 1/58 ลดลง แต่อย่างไรก็ตามหากเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังมีการฟื้นตัวดีขึ้นอาจจะมีการทบทวนเป้าหมายปีนี้อีกครั้งหนึ่ง
ปัจจุบัน บริษัทมีพื้นที่เช่ารวมอยู่ที่ 2.2 ล้านตารางเมตร และสิ้นปี 58 คาดว่า จะอยู่ที่ 2.35 ล้านตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่คลังสินค้าให้เช่า 1.25 ตารางเมตร และพื้นที่โรงงานให้เช่า 1.1 ล้านตารางเมตร ส่วนงบลงทุนในปีนี้ตั้งไว้ที่ 6 พันล้านบาท แบ่งเป็นการขยายพื้นที่โรงงานให้เช่าเพิ่มอีก 100,000 ตารางเมตร และขยายคลังสินค้าให้เช่าเพิ่มอีก 250,000 ตารางเมตร รวมไปถึงการใช้ซื้อที่ดินใหม่อีก 1 พันล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทมีความสนใจที่จะลงทุนโครงการพัฒนา และบริหารคลังสินค้าและโรงงานเพื่อให้เช่าในเมืองย่างกุ้ง ของเมียนมาร์ด้วย ซึ่งบริษัทจะเป็นผู้ดำเนินการลงทุนเองทั้งหมด โดยจะจัดตั้งบริษัทย่อยในเมียนมาขึ้นมา ซึ่งคาดใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือน โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาติดต่อซื้อที่ดิน คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 400-500 ล้านบาท และจะเห็นความชัดเจนในช่วงปี 59
สำหรับเงินลงทุนในการลงทุนต่างประเทศส่วนหนึ่งจะมาจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TREIT) มูลค่า 4 พันล้านบาท ในช่วงไตรมาส 4/58 ซึ่งเลื่อนจากกำหนดเดิมที่จะขายในช่วงไตรมาส 3/58 เนื่องจากกระบวนการจากทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ใช้ระยะเวลานาน นอกจากนี้ บริษัทยังจะออกหุ้นกู้มูลค่า 700-800 ล้านบาท อายุ 3 ปี ในช่วงไตรมาส 3/58 เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะหมดอายุด้วย
นายวีรพันธ์ กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/58 คาดว่าจะเติบโตมากกว่าไตรมาส 1/58 ที่มีรายได้อยู่ที่ 349.64 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 96,000 บาท เนื่องจากมีรายได้จากค่าเช่าเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2/58 จากการที่ลูกค้าเข้ามาเช่าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และการให้เช่าคลังสินค้าแบบ Ready to Built ยังมีลูกค้าสนใจเข้ามาเช่าอย่างต่อเนื่อง
สำหรับรายได้ในปีนี้ยังคงเป้าที่เติบโต 5% จากปีก่อนที่มีรายได้ 5.86 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับลดลงจากเดิมที่เติบโต 10% เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ยอดขายและให้เช่าพื้นที่ในช่วงไตรมาส 1/58 ลดลง แต่อย่างไรก็ตามหากเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังมีการฟื้นตัวดีขึ้นอาจจะมีการทบทวนเป้าหมายปีนี้อีกครั้งหนึ่ง
ปัจจุบัน บริษัทมีพื้นที่เช่ารวมอยู่ที่ 2.2 ล้านตารางเมตร และสิ้นปี 58 คาดว่า จะอยู่ที่ 2.35 ล้านตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่คลังสินค้าให้เช่า 1.25 ตารางเมตร และพื้นที่โรงงานให้เช่า 1.1 ล้านตารางเมตร ส่วนงบลงทุนในปีนี้ตั้งไว้ที่ 6 พันล้านบาท แบ่งเป็นการขยายพื้นที่โรงงานให้เช่าเพิ่มอีก 100,000 ตารางเมตร และขยายคลังสินค้าให้เช่าเพิ่มอีก 250,000 ตารางเมตร รวมไปถึงการใช้ซื้อที่ดินใหม่อีก 1 พันล้านบาท
