สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ชี้ ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนใน 3 เดือนข้างหน้าเข้าสู่ภาวะซบเซา กังวลเศรษฐกิจไทยชะลอตัว เผยวอลุ่มเทรดหดตัวต่อเนื่องจากวันละ 6 หมื่นล้านเหลือ 4 หมื่นล้าน สะท้อนว่านักลงทุนเริ่มหมดแรงซื้อและหันไปลงทุนในตลาดหุ้นอื่นที่น่าสนใจกว่า พร้อมระบุการใช้มาตรา 44 มีความจำเป็นต่อการดูแลความสงบในประเทศ และช่วยคลายข้อจำกัดที่กองทุนต่างประเทศมีกฎห้ามการลงทุนในประเทศที่มีกฎอัยการศึก ซึ่งจะทำให้นักลงทุนต่างชาติลงทุนในประเทศไทยได้ตามปกติ แต่ควรใช้ในระยะสั้นเท่านั้น
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนใน 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงถึงร้อยละ 33.5 มาอยู่ที่ 78.90 จากเดือนที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 118.64 ทำให้ทิศทางตลาดทุนเริ่มเข้าสู่ภาวะซบเซา สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมันลดลงอย่างมากในทุกกลุ่ม โดยดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์มาอยู่ที่ 100 กลุ่ม นักลงทุนต่างประเทศอยู่ที่ 85.71 นักลงทุนรายย่อย 76.79 และสถาบันในประเทศ 76.47
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นที่ลดลงมาจากเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว นโยบายการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง การลงทุนของภาครัฐ รองลงมาคือสถานการณ์ต่างประเทศ โดยเฉพาะการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ การก่อการร้าย ซึ่งจะมีผลต่อตลาดทุน
โดยให้จับตามูลค่าการซื้อขายซึ่งขณะนี้เริ่มเบาบางลงจากวันละ 60,000 ล้านบาท เหลือประมาณ 40,000 ล้านบาท ซึ่งหากมูลค่าการซื้อขายเบาบางต่อเนื่องก็จะสะท้อนว่า นักลงทุนเริ่มหมดแรงซื้อและหันไปลงทุนในตลาดหุ้นอื่นที่น่าสนใจกว่า เช่น จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย สำหรับหมวดอุตสาหกรรมที่น่าลงทุนมากที่สุด คือ ธนาคาร ขณะที่หมวดยานยนต์เป็นหมวดธุรกิจที่ไม่น่าลงทุนที่สุด
นางวรวรรณยังกล่าวถึงการที่รัฐบาลประกาศใช้มาตรา 44 แทนกฎอัยการศึกว่า จะเป็นผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวและช่วยคลายข้อจำกัดที่กองทุนต่างประเทศมีกฎห้ามการลงทุนในประเทศที่มีกฎอัยการศึก ซึ่งจะทำให้นักลงทุนต่างชาติลงทุนในประเทศไทยได้ตามปกติ และจะไม่กระทบต่อการดำเนินชีวิตของคนในประเทศ แต่ยอมรับว่ามาตรา 44 มีความจำเป็นที่รัฐบาลจะใช้เป็นเครื่องมือในการดูแลสถานการณ์ในระยะสั้นทำให้ประเทศสามารถเดินตามแผนโรดแมปได้
ส่วนภาวะตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสองวันต่อเนื่อง ยอมรับว่า ส่วนหนึ่งมาจากการยกเลิกกฎอัยการศึกและมีข่าวดีจากปัจจัยต่างประเทศ