xs
xsm
sm
md
lg

นักวิเคราะห์ฯ ประเมินหุ้นไทยยังซึมยาว เพราะรอ รธน.ชัดเจน กังวล ศก.ยังโตต่ำกว่าศักยภาพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นายกสมาคมนักวิเคราะห์ฯ มองการเลิกกฎอัยการศึกช่วยหนุนการท่องเที่ยวดีขึ้น ส่วนการใช้ ม.44 สามารถทำได้เพื่อเป็นเครื่องมือดูแลรักษาความสงบ พร้อมประเมินหุ้นไทยยังซึมยาว เพราะรอ รธน.ชัดเจน ขณะที่ ศก.ไทยเติบโตต่ำกว่าศักยภาพต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ส่วนแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติเชื่อว่าจะยังคงเบาบาง

ในการสัมมนา “เจาะกลยุทธ์การลงทุน สร้างกำไรครึ่งปีหลัง” ของทิสโก้ เวลท์ นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ หรือ บล.ทิสโก้ ในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า การที่รัฐบาลยกเลิกกฎอัยการศึก จะส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยว เพราะบริษัทประกันในต่างประเทศจะรับประกันให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทยเช่นเดิม จะช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นและกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ ส่วนการใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้น สามารถทำได้เพื่อเป็นเครื่องมือการดูแลรักษาความสงบเมื่อจำเป็น

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีแรก จะซึมยาวโดยมีแนวรับที่ 1,450 จุด จนกว่าจะรู้ผลการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ว่าจะผ่านหรือไม่ ซึ่งหากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านความเห็นชอบ และการเกิดเลือกตั้งตามกรอบเวลา จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ต้องติดตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจไทยควบคู่กันไปด้วย โดยปีนี้เศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่าศักยภาพเป็นปีที่ 2 โดยจะขยายตัวได้ร้อยละ 3 เพราะการส่งออกต่ำกว่าที่คาด ทั้งนี้มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก เพื่อทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า กระตุ้นการส่งออกและเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลชุดนี้ยืนยันไม่ทำประชานิยม

ส่วนแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ เชื่อว่าจะยังคงเบาบาง เพราะตลาดหุ้นไทยยังไม่น่าสนใจมากนัก แม้ราคาหุ้นจะปรับลดลงมากก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์การเมืองยังไม่ชัดเจน และเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แตกต่างจากตลาดหุ้นทั่วโลกที่แนวโน้มในปี 18 เดือนข้างหน้ายังมีโอกาสเติบโต เนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขยายวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐที่จะขยายตัวเต็มที่ร้อยละ 3 และยังมีสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจโลกอีกเป็นจำนวนมาก และเชื่อว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ไม่น่ากังวล เพราะธนาคารกลางสหรัฐจะทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่ให้กระทบต่อเศรษฐกิจของตัวเองและโลก ส่วนยุโรปจะยังคงเพิ่มมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง ทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงมาก ช่วยให้เศรษฐกิจยุโรปดีขึ้น และจะทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดหุ้นยุโรป ญี่ปุ่น อินเดีย และจีน

ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจโลกมีบ้างเล็กน้อย จากสงครามจากประเทศตะวันออกกลางที่ต้องจับตามองบ้างเท่านั้น ซึ่งหากไม่สงครามเกิดขึ้น ราคาน้ำมันในปีนี้จะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น