โบรกฯ คาดปัจจัยภายนอกกดดันดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์นี้ยังคงแกว่งตัวในกรอบ ทั้งตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯ อีกทั้งความกังวลว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจรัสเซียรอบใหม่ แนะเข้าซื้อเมื่อดัชนีฯอ่อนตัว สะสมหุ้นใหญ่ พร้อมประเมินแนวรับที่ 1,580-1,565 จุด และแนวต้านที่ 1,600-1,610 จุด
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส คาดการณ์ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ว่า จะยังคงแกว่งตัวในกรอบจำกัด และมีโอกาสปรับตัวลงได้จากผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศ กรณีความกังวลต่อเศรษฐกิจรัสเซียหลังค่าเงินรูเบิลอ่อนค่าแรงอีกครั้งที่ระดับ 70 รูเบิลต่อดอลลาร์หสรัฐ
“ดัชนียังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ด้วยแรงคาดหวังกระแสเงินทุนต่างชาติผ่านมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณทางการเงิน หรือมาตรการ QE ของหลายๆ ประเทศ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยผ่านการกระตุ้นด้วยการผลักดันโครงการก่อสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาลเป็นหลัก กระแสเงินทุนจากต่างชาติยังคงไหลเข้าภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของตลาดหุ้นไทย นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ซื้อสุทธิติดต่อกันถึง 7 วันหลังสุด มูลค่ารวม 1.6 หมื่นล้านบาท ทำให้ยอดซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปี 2552 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.4 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม สถิติย้อนหลัง 5 ปี พบว่า เดือน ก.พ.นักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่ในสถานะขายสุทธิ จึงควรติดตามพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนกลุ่มนี้ด้วย” นายประกิต กล่าว
ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส มองว่า แรงขายที่เกิดขึ้นในหุ้นใหญ่ทั้ง 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มธนาคารพาณิชย์ มีแรงขายหลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงินยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2% ส่วนกลุ่มสื่อสาร มีแรงกดดันจากการพิจารณาจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการโดยตรง ขณะที่กลุ่มพลังงาน ราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวลงกดดันราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานนั้น ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงได้สะท้อนผลกระทบดังกล่าวไปพอสมควรแล้ว
“แม้ว่าราคาน้ำมันโลกมีโอกาสปรับลงไปที่ 40 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่หากเทียบ Downside เริ่มจำกัดมากขึ้นจากช่วงที่ปรับลงแรงก่อนหน้า ดังนั้น มุมมอง (Outlook) ปีนี้จึงดีขึ้นจากภาวะขาดทุนสต๊อกน้ำมัน (Stock Loss) ลดลง” นายประกิต กล่าว
พร้อมแนะนำให้ทยอยซื้อหุ้นขนาดใหญ่อย่าง KBANK-INTUCH ADVANC-PS-SPALI หุ้นที่มีการเติบโตสูง อย่าง SYNTEC-GUNKUL และหุ้นปันผลสูง เช่น SAWAD พร้อมประเมินแนวรับ 1,575 จุด แนวต้าน 1,610 จุด
สอดคล้องต่อ นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นในช่วงนี้คาดว่า มาจากการที่ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณทางการเงิน หรือมาตรการ QE ด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินผ่านการเข้าซื้อพันธบัตร และตราสารหนี้วงเงินกว่า 1.1 ล้านล้านยูโร ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป รวมถึงตลาดหุ้น และตลาดการเงินทั่วโลก ในภาพรวมเป็นไปในเชิงบวก เนื่องจากเป็นการเข้ามาช่วยเสริมสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกให้มีมากขึ้น
ขณะที่ นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า คาดว่าดัชนีฯ จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,565-1,600 จุด หากประมาณการครั้งแรกสำหรับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP Q4/14 ของสหรัฐฯ ออกมาดีจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยตลอดสัปดาห์นี้
“ยังคงต้องติดตามการประกาศตัวเลขสำคัญระหว่างสัปดาห์ คือ ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน และตัวเลขอัตราการว่างงานเดือน ม.ค.ของสหรัฐฯ ซึ่งหลายครั้งที่ผ่านมา ตัวเลขที่ประกาศออกมาดีเกินที่กว่าที่ตลาดฯ คาดการณ์ จึงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาดูว่าจะออกมาในทิศทางใด เพื่อบ่งบอกว่าเศรษฐกิจในสหรัฐฯ นั้นฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอาจมีความเป็นไปได้ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด” นายธนเดช กล่าวพร้อมแนะนำการลงทุน ซื้อเมื่อดัชนีฯ อ่อนตัว โดยประเมินแนวรับที่ 1,580-1,565 จุด และแนวต้านที่ 1,600 จุด
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส คาดการณ์ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ว่า จะยังคงแกว่งตัวในกรอบจำกัด และมีโอกาสปรับตัวลงได้จากผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศ กรณีความกังวลต่อเศรษฐกิจรัสเซียหลังค่าเงินรูเบิลอ่อนค่าแรงอีกครั้งที่ระดับ 70 รูเบิลต่อดอลลาร์หสรัฐ
“ดัชนียังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ด้วยแรงคาดหวังกระแสเงินทุนต่างชาติผ่านมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณทางการเงิน หรือมาตรการ QE ของหลายๆ ประเทศ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยผ่านการกระตุ้นด้วยการผลักดันโครงการก่อสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาลเป็นหลัก กระแสเงินทุนจากต่างชาติยังคงไหลเข้าภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของตลาดหุ้นไทย นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ซื้อสุทธิติดต่อกันถึง 7 วันหลังสุด มูลค่ารวม 1.6 หมื่นล้านบาท ทำให้ยอดซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปี 2552 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.4 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม สถิติย้อนหลัง 5 ปี พบว่า เดือน ก.พ.นักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่ในสถานะขายสุทธิ จึงควรติดตามพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนกลุ่มนี้ด้วย” นายประกิต กล่าว
ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส มองว่า แรงขายที่เกิดขึ้นในหุ้นใหญ่ทั้ง 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มธนาคารพาณิชย์ มีแรงขายหลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงินยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2% ส่วนกลุ่มสื่อสาร มีแรงกดดันจากการพิจารณาจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการโดยตรง ขณะที่กลุ่มพลังงาน ราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวลงกดดันราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานนั้น ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงได้สะท้อนผลกระทบดังกล่าวไปพอสมควรแล้ว
“แม้ว่าราคาน้ำมันโลกมีโอกาสปรับลงไปที่ 40 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่หากเทียบ Downside เริ่มจำกัดมากขึ้นจากช่วงที่ปรับลงแรงก่อนหน้า ดังนั้น มุมมอง (Outlook) ปีนี้จึงดีขึ้นจากภาวะขาดทุนสต๊อกน้ำมัน (Stock Loss) ลดลง” นายประกิต กล่าว
พร้อมแนะนำให้ทยอยซื้อหุ้นขนาดใหญ่อย่าง KBANK-INTUCH ADVANC-PS-SPALI หุ้นที่มีการเติบโตสูง อย่าง SYNTEC-GUNKUL และหุ้นปันผลสูง เช่น SAWAD พร้อมประเมินแนวรับ 1,575 จุด แนวต้าน 1,610 จุด
สอดคล้องต่อ นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นในช่วงนี้คาดว่า มาจากการที่ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณทางการเงิน หรือมาตรการ QE ด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินผ่านการเข้าซื้อพันธบัตร และตราสารหนี้วงเงินกว่า 1.1 ล้านล้านยูโร ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป รวมถึงตลาดหุ้น และตลาดการเงินทั่วโลก ในภาพรวมเป็นไปในเชิงบวก เนื่องจากเป็นการเข้ามาช่วยเสริมสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกให้มีมากขึ้น
ขณะที่ นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า คาดว่าดัชนีฯ จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,565-1,600 จุด หากประมาณการครั้งแรกสำหรับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP Q4/14 ของสหรัฐฯ ออกมาดีจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยตลอดสัปดาห์นี้
“ยังคงต้องติดตามการประกาศตัวเลขสำคัญระหว่างสัปดาห์ คือ ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน และตัวเลขอัตราการว่างงานเดือน ม.ค.ของสหรัฐฯ ซึ่งหลายครั้งที่ผ่านมา ตัวเลขที่ประกาศออกมาดีเกินที่กว่าที่ตลาดฯ คาดการณ์ จึงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาดูว่าจะออกมาในทิศทางใด เพื่อบ่งบอกว่าเศรษฐกิจในสหรัฐฯ นั้นฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอาจมีความเป็นไปได้ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด” นายธนเดช กล่าวพร้อมแนะนำการลงทุน ซื้อเมื่อดัชนีฯ อ่อนตัว โดยประเมินแนวรับที่ 1,580-1,565 จุด และแนวต้านที่ 1,600 จุด