ASTV ผู้จัดการรายวัน – แรงขายปิดกองทุนกดดันดัชนีหุ้นไทยร่วงกว่า 10 จุดตั้งแต่เปิดซื้อขายวันแรก นักวิเคราะห์ระบุหลายปัจจัยลบยังคงกดดัน ยืนยันเศรษฐกิจในประเทศยังคงแข็งแกร่งนายย่อยทะยอยสะสมหุ้นใหญ่พื้นฐานดีเพราะราคาจะอ่อนลงมาในระดับที่เข้ารับได้
ผู้สื่อข่าวรายงานดัชนีตลามดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปิดตลาดวันที่ 5 มกราคม 2558 ไปที่ 1,483.25 จุด 14.42 ลดลง จุดเปลี่ยนแปลง -0.96% มูลค่าการซื้อขาย 29,721.99 ล้านบาท โดยระหว่างเทรดแตะจุดสูงสุดที่ 1,502.10 จุด และต่ำสุดที่ 1,482.87 จุด โดยสถาบันในประเทศขายสุทธิ 2,515.89 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1,847.47 ล้านบาท ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 904.03 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 3,459.33 ล้านบาท
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า ดัชนี SET ในภาคบ่ายปรับลดลงกว่า 10 จุด จากแรงขายของกองทุนหุ้น ประเภทที่ประหยัดภาษี หรือ LTF ซึ่งเม็ดเงินที่คำนวณตามราคาตลาดคาดว่าจะอยู่ที่ราว 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งตามสถิติในอดีตพบว่า แรงขาย LTF จะเกิดขึ้นหนักเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของทุกปี เฉลี่ยระหว่าง 35-50% ของยอดเงินที่ครบกำหนด โดยเงินที่เหลือยังถูกสะสมเป็นการลงทุนระยะยาว
“เม็ดเงินนี้จะถูกขายหนักในช่วงเดือน ม.ค. แต่หลังจากนั้นแรงขายจะค่อย ๆ ลดลงถือเป็นปัจจัยระยะสั้นที่กดดันดัชนีตลาดหุ้นในช่วงต้นเดือน ม.ค. ประกอบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเซียปิดตัวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่” นายประกิต กล่าว
ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเชีย พลัสแนะนำให้นักลงทุนรายย่อยทะยอยเข้าสะสมหุ้น โดยคาดว่าหุ้นที่จะนำตลาด/ ชนะตลาดน่าจะ ได้แก่ กลุ่มขนส่ง เติบโตถึง 240% (จากการพลิกกลับมากำไรของ THAI) ตามมาด้วย กลุ่มประกันฯ เติบโต 47% หลักๆ มาจาก BLA หลังตั้งสำรองฯ จำนวนมากในปีนี้ กลุ่มปิโตรฯ เติบโต 37% จากฐานที่ต่ำในปีนี้ โดยเฉพาะ PTTGC เติบโตโดดเด่น และกลุ่มชิ้นส่วนฯ เติบโต 28% จาก DELTA เติบโต 17% เป็นต้น และกลุ่มหุ้น PER ต่ำ และเงินปันผลสูง
สอดคล้องกับนายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต สรุปทิศทางดัชนีวานนี้เคลื่อนไหวแคบ ด้วยปริมาณการซื้อขายเบาบาง 2.9 หมื่นล้านบาท มีแรงขายกระจายเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคาร ขนส่ง อาหาร และพลังงาน ทั้งนี้คาดการณ์ว่าดัชนีผันผวน ในช่วงต้นปีจาก 1.ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงยังเป็นปัจจัยกดดันหุ้นกลุ่มพลังงานต่อไป และ 2.การไถ่ถอนของกองทุน LTF ช่วงต้นปี โดยประเมินแนวรับที่ 1,487 จุด ที่เป็น Gap ทางเทคนิคเดิมที่ปิดไปแล้วในช่วงปลายปีก่อน เป็นแวรับแรก และแนวรับถัดไปที่ 1,480 จุด
กลยุทธ์ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีเมื่อราคาอ่อนตัว โดยมี Top pick ปี 2558 ได้แก่ SPALI, CPN, CK, ADVANC, SCC, SC, SCB, TISCO, AAV และ RS
ขณะเดียวกนตลาดหุ้นเกิดใหม่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง 3 วันทำการสอดคล้องกับสกุลเงินกลุ่มตลาดเกิดใหม่อ่อนค่าลง จากการคาดการณ์ที่ว่า กรีซอาจจะไม่สามารถรักษาสถานภาพการเป็นสมาชิกยูโรโซนไว้ได้ ซึ่งส่งผลให้ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงลดลงตามไปด้วย นำโดยดัชนี MSCI Emerging Markets Index ลดลง 0.4% แตะ 949.54 เมื่อเวลา 13.50 น.ตามเวลาฮ่องกง หุ้นไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง ปรับลง 1.1% ในตลาดหุ้นไต้หวัน ขณะที่หุ้นจีนพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 5 ปีภายในวันทำการแรกของปี 2558
การเลือกตั้งของกรีซที่จะจัดขึ้นในวันที่ 25 ม.ค. นี้ถือเป็นการชี้ชะตาว่ากรีซจะสามารถรั้งสถานภาพการเป็นสมาชิกยูโรโซนต่อไปได้หรือไม่ ขณะที่สื่อเยอรมนีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีอังเกล่า แมร์เคลของเยอรมนี พร้อมยอมรับ หากกรีซพ้นจากการเป็นสมาชิกยูโรโซน
ผู้สื่อข่าวรายงานดัชนีตลามดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปิดตลาดวันที่ 5 มกราคม 2558 ไปที่ 1,483.25 จุด 14.42 ลดลง จุดเปลี่ยนแปลง -0.96% มูลค่าการซื้อขาย 29,721.99 ล้านบาท โดยระหว่างเทรดแตะจุดสูงสุดที่ 1,502.10 จุด และต่ำสุดที่ 1,482.87 จุด โดยสถาบันในประเทศขายสุทธิ 2,515.89 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1,847.47 ล้านบาท ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 904.03 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 3,459.33 ล้านบาท
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า ดัชนี SET ในภาคบ่ายปรับลดลงกว่า 10 จุด จากแรงขายของกองทุนหุ้น ประเภทที่ประหยัดภาษี หรือ LTF ซึ่งเม็ดเงินที่คำนวณตามราคาตลาดคาดว่าจะอยู่ที่ราว 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งตามสถิติในอดีตพบว่า แรงขาย LTF จะเกิดขึ้นหนักเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของทุกปี เฉลี่ยระหว่าง 35-50% ของยอดเงินที่ครบกำหนด โดยเงินที่เหลือยังถูกสะสมเป็นการลงทุนระยะยาว
“เม็ดเงินนี้จะถูกขายหนักในช่วงเดือน ม.ค. แต่หลังจากนั้นแรงขายจะค่อย ๆ ลดลงถือเป็นปัจจัยระยะสั้นที่กดดันดัชนีตลาดหุ้นในช่วงต้นเดือน ม.ค. ประกอบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเซียปิดตัวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่” นายประกิต กล่าว
ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเชีย พลัสแนะนำให้นักลงทุนรายย่อยทะยอยเข้าสะสมหุ้น โดยคาดว่าหุ้นที่จะนำตลาด/ ชนะตลาดน่าจะ ได้แก่ กลุ่มขนส่ง เติบโตถึง 240% (จากการพลิกกลับมากำไรของ THAI) ตามมาด้วย กลุ่มประกันฯ เติบโต 47% หลักๆ มาจาก BLA หลังตั้งสำรองฯ จำนวนมากในปีนี้ กลุ่มปิโตรฯ เติบโต 37% จากฐานที่ต่ำในปีนี้ โดยเฉพาะ PTTGC เติบโตโดดเด่น และกลุ่มชิ้นส่วนฯ เติบโต 28% จาก DELTA เติบโต 17% เป็นต้น และกลุ่มหุ้น PER ต่ำ และเงินปันผลสูง
สอดคล้องกับนายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต สรุปทิศทางดัชนีวานนี้เคลื่อนไหวแคบ ด้วยปริมาณการซื้อขายเบาบาง 2.9 หมื่นล้านบาท มีแรงขายกระจายเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคาร ขนส่ง อาหาร และพลังงาน ทั้งนี้คาดการณ์ว่าดัชนีผันผวน ในช่วงต้นปีจาก 1.ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงยังเป็นปัจจัยกดดันหุ้นกลุ่มพลังงานต่อไป และ 2.การไถ่ถอนของกองทุน LTF ช่วงต้นปี โดยประเมินแนวรับที่ 1,487 จุด ที่เป็น Gap ทางเทคนิคเดิมที่ปิดไปแล้วในช่วงปลายปีก่อน เป็นแวรับแรก และแนวรับถัดไปที่ 1,480 จุด
กลยุทธ์ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีเมื่อราคาอ่อนตัว โดยมี Top pick ปี 2558 ได้แก่ SPALI, CPN, CK, ADVANC, SCC, SC, SCB, TISCO, AAV และ RS
ขณะเดียวกนตลาดหุ้นเกิดใหม่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง 3 วันทำการสอดคล้องกับสกุลเงินกลุ่มตลาดเกิดใหม่อ่อนค่าลง จากการคาดการณ์ที่ว่า กรีซอาจจะไม่สามารถรักษาสถานภาพการเป็นสมาชิกยูโรโซนไว้ได้ ซึ่งส่งผลให้ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงลดลงตามไปด้วย นำโดยดัชนี MSCI Emerging Markets Index ลดลง 0.4% แตะ 949.54 เมื่อเวลา 13.50 น.ตามเวลาฮ่องกง หุ้นไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง ปรับลง 1.1% ในตลาดหุ้นไต้หวัน ขณะที่หุ้นจีนพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 5 ปีภายในวันทำการแรกของปี 2558
การเลือกตั้งของกรีซที่จะจัดขึ้นในวันที่ 25 ม.ค. นี้ถือเป็นการชี้ชะตาว่ากรีซจะสามารถรั้งสถานภาพการเป็นสมาชิกยูโรโซนต่อไปได้หรือไม่ ขณะที่สื่อเยอรมนีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีอังเกล่า แมร์เคลของเยอรมนี พร้อมยอมรับ หากกรีซพ้นจากการเป็นสมาชิกยูโรโซน
