xs
xsm
sm
md
lg

นักวิเคราะห์เตือนระวังสถาบันขายทำกำไร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


วานนี้ SET Index เริ่มปรับลดลง 0.9% ถือเป็นการปรับลงครั้งแรกหลังจากที่ขึ้นมา 5 วันกว่า 4.4% โดยดัชนีขึ้นไปติดแนวต้านที่ฝ่ายวิจัยวางไว้วานนี้ที่ 1,548 จุด ก่อนที่จะเกิดแรงขายกดจนทำให้ดัชนีต้องลงมาปิดต่ำถึง 1,523 จุด

ประเมินแรงขายทำกำไรที่เกิดขึ้น นอกจากจะมาจากการขายของบัญชีซื้อขายเพื่อบริษัทหลักทรัพย์แล้ว (วานนี้พอร์ตโบรกเกอร์ขายสุทธิ 1.2 พันล้านบาท) การเริ่มขายสุทธิของนักลงทุนสถาบันในประเทศก็เป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้ โดยเฉพาะจาก Trigger Fund กองใหม่ๆ ที่มีการเข้าไล่ซื้อหุ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่าน (สถาบันในประเทศเริ่มทำการซื้อสุทธิเมื่อวันที่ 7 ม.ค.58 ก่อนจะลุยซื้อต่อเนื่องในอีก 4 วันถัดมา รวม 5 วันซื้อไปกว่า 1.05 หมื่นล้านบาท) คาดว่าจะมีบางกองที่ทำผลตอบแทนได้ถึงเป้าหมายแรกที่ 3% แล้ว

ในขณะที่ Valuation ของตลาดยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพง (ค่า Current PER ของ SET และ SET50 อยู่ที่ 17 และ 15.9 เท่าตามลำดับ) ซึ่งทำให้มีโอกาสสูงที่กองเหล่านี้อาจต้องมีการขายทำกำไรออกมา

การปรับลดลงของราคาน้ำมัน แม้โดยภาพรวมจะไม่ได้เป็นผลบวกต่อกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากโครงสร้างกำไรของบริษัทจดทะเบียนมีองค์ประกอบกว่า 30% ที่มาจากกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ซึ่งฝ่ายวิจัยได้สะท้อนภาพลบดังกล่าวผ่านการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนไปแล้วในช่วงปลายปี 2557 ที่ผ่านมา

แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายกลุ่มอุตสาหกรรมในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real Sectors) ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการปรับลดลงของราคาน้ำมัน โดยอย่างน้อยที่สุดก็จะมีผลทำให้ต้นทุนการดำเนินงานเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนด้านพลังงานปรับลดลง อันจะทำให้ประสิทธิภาพการทำกำไรที่วัดผ่าน Net Profit Margin ของผู้ประกอบการปรับตัวดีขึ้นอยู่ในช่วงประมาณ 2-3% ส่งผลทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นราว 7 พันล้านบาท-1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น EPS 0.75-1.12 บาท/หุ้น

ในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุน คงคำแนะนำให้นักลงทุนถือหุ้นโดยถือหุ้น 50% ของเงินลงทุน โดยเลือกหุ้นใน 2 Themes หลักคือ

1.กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันขาลง ซึ่งฝ่ายวิจัยได้อธิบายรายละเอียดของแต่ละกลุ่มที่ได้ประโยชน์ไว้แล้วในรายงาน Market Talk ฉบับวานนี้ นักลงทุนสามารถติดตามอ่านได้ ทั้งนี้ หากสรุปลงมาเป็นรายหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ราคาหุ้นยังต่ำกว่า Fair Value และเป็นหุ้นที่ฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อได้แก่ AAV(FV@B6), RCL(FV@B11.8) ROBINS (FV@B 64) SYNTEC (FV@B 3.37)

2.หุ้นปันผลที่ยัง laggards ถือเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากหลังประกาศผลประกอบการงวดปี 2557 ในช่วงปลายเดือน ก.พ.-ต้น มี.ค.2558 ก็จะเป็นฤดูกาลของการประกาศจ่ายเงินปันผล ซึ่งมักจะมีการขึ้นเครื่องหมาย XD กันในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.2558 ดังนั้น จึงเท่ากับว่านักลงทุนที่ซื้อหุ้น ณ ปัจจุบัน ก็จะมีช่วงเวลาการถือหุ้นอีกเพียง 4 เดือน ก็จะได้รับสิทธิเงินปันผลดังกล่าว หุ้นปันผลที่จะหัผลตอบแทนสูงกว่าปกติ ควรเป็นหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลปีละ 1 ครั้ง และให้ Dividend Yield ไม่น้อยกว่า 4% ที่น่าสนใจ คือ STPI(FV@B 30.30), SPALI (FV@B 31.96), PS (FV@B 40.52), ASK(FV@B 24.90) และ TMT(FV@B 12.18)

Ant eye view : อย่างที่ได้แจ้งไปวานนี้ว่าคงไม่ง่ายที่ดัชนีจะขึ้นผ่าน และยืนเหนือ 1,540 จุดได้ การปรับลงหลังจากการติดแนวต้านสำคัญ อาจทำให้วันนี้ SET Index ต้องลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ดัชนียังคงอยู่ในกรอบขาขึ้นระยะสั้น และกำลังทำรูปแบบพักตัวเป็น Ascending Triangle ตามจังหวะ a-b-c-d-e ซึ่งตำแหน่ง e ที่ 1,505 จุด น่าจะเป็นฐานแนวรับสำคัญสำหรับรูปแบบการพักตัวรอบนี้

ที่ตำแหน่ง e 1,505 จุด นอกจากจะเป็นฐานแนวรับตามแนว Trend Line สีน้ำเงินแล้ว ยังเป็นแนว SMA 200 วัน ถ้าดัชนียังคิดที่จะกลับไปทดสอบ 1,540 จุดอีกครั้งก็ไม่ควรลงต่ำกว่าระดับนี้ และหากเกิดกรณีดัชนีลงต่ำกว่า 1,505 จุด นอกจากรูปสามเหลี่ยมจะพังแล้ว ดัชนีอาจลงต่อจนมาทดสอบฐาน 1,460 จุด หลุดจากระดับนี้ก็เตรียมซี้ม่องเท่งกันได้เลย

กลยุทธ์การลงทุน Investment Tactic : ยังคงเลือกใช้กลยุทธ์ Selective Buy ในหุ้นต่างๆ ต่อไปนี้

■ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลอยตัว LPG : PTT
■ หุ้น P/E ต่ำ ผลประกอบการเด่น : SYNTEC
■ ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง : AAV, BA, RCL
■ หุ้นปันผลเด่น : ADVANC, INTUCH, AIT, SPALI
Portfolio Update : ADVANC, AIT, BA, RCL, STPI, SYNTEC, INTUCH
กำลังโหลดความคิดเห็น