xs
xsm
sm
md
lg

คาดวันนี้ SET จะเคลื่อนไหวออกด้านข้าง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส คาดวันนี้ SET จะเคลื่อนไหวออกด้านข้าง โดยมี 1,540 จุด เป็นแนวต้านสำคัญ โดยจะมีแนวรับสุดเจ๋งที่ 1,514 จุดหรือ 1,509 จุด โดย 1,509 จุด เป็นแนว EMA 14 วัน ทั้ง 2 แนวนี้เชื่อเป็นการภายในว่าน่าจะเอาอยู่ (หากเอาไม่อยู่ก็ต้องไปหวังพึ่งพา SMA 200 วันที่ 1,500 จุด)

จากบทวิเคราะห์ ASP Market Talks ในวันนี้ แม้เศรษฐกิจในประเทศยังชะลอ หรือฟื้นตัวแบบล่าช้า แต่การที่ต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง มิใช่จะสร้าง sentiment เชิงบวกต่อผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่พบว่า ต้นทุนของผู้ประกอบการลดลง โดยเฉพาะต้นทุนการผลิตและต้นทุนขนส่ง ทั้งนี้ เช้านี้นักวิเคราะห์กลุ่มค้าปลีก ASP ได้ออกบทวิเคราะห์ถึงผลประโยชน์ที่ได้รับจากราคาน้ำมันที่ลดลง ติดตามอ่านรายละเอียดใน Industry Update ในเช้านี้ ทั้งในรายงานสรุปว่า ราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลบวกต่อกลุ่มใน 2 ส่วนหลักๆ คือ

ต้นทุนลอจิสติกส์ ซึ่งมีการใช้รถขนส่งจำนวนมากในการกระจายสินค้าจากศูนย์กระจายสินค้าไปยังสาขาต่างๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการขนส่งส่วนใหญ่จะ Outsource เป็นหลัก ซึ่งในสัญญากำหนดการปรับขึ้น/ลดค่าขนส่งตามราคาน้ำมันในลักษณะขั้นบันได และอาจมี Lag time ในการปรับลดราคาด้วย (น้ำมันที่ใช้อ้างอิงส่วนใหญ่ คือ ดีเซล)

ค่าไฟฟ้าภายในห้าง จากแนวโน้มค่า FT เดือน ม.ค.-เม.ย.2558 ที่จะเริ่มปรับลดลงมาราว 0.10 บาท/หน่วย เป็นผลให้ค่าไฟต่อหน่วยโดยรวมจะลดลงจาก 3.96 บาท/หน่วย เหลือ 3.86 บาท/หน่วย หรือลดลง 3% รวมทั้งยังมีโอกาสลดลงอีกในการพิจารณารอบต่อๆ ไป (ทุก 4 เดือน)

ทั้งนี้ โดยเบื้องต้นประเมินสัดส่วนของต้นทุนลอจิสติกส์ และค่าไฟฟ้าของกลุ่มฯ จะอยู่ที่ราว 2-4% ของยอดขาย ซึ่งหากตั้งสมมติฐานตัดลงค่าใช้จ่ายดังกล่าวราว 12% เกิดจากค่าน้ำมันลดลง 20% และค่าไฟลดลง 5% จะส่งผลให้ต้นทุนดำเนินงานของกลุ่มลดลง และฐานกำไรกลุ่มเพิ่มขึ้นจากประมาณการปัจจุบันราว 2-3% ของกำไร และจากการศึกษาพบว่า หุ้นค้าปลีกได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ ขณะที่ราคาหุ้นบางแห่ง เช่น HMPRO (FV@B9.8) ลดต่ำกว่า Fair Value จนมี upside 20% จึงปรับคำแนะนำเป็นซื้อ แต่ยังให้น้ำหนักกลุ่มเท่ากับตลาด โดยเลือกหุ้น Top pick คือ ROBINS(FV@B64) เนื่องจากมี upside สูงสุด 38% มีค่า PER ต่ำสุดในกลุ่ม ขณะที่ EPS Growth 17%

ต่อมาคือ กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย เชื่อว่าน่าจะได้ประโยชน์ทางอ้อมผ่านทางค่าวัสดุก่อสร้าง (เหล็ก, ปูน) ที่มีทิศทางลดลงตามราคาน้ำมัน ซึ่งในภาวะปกติผู้ประกอบการจะมีการขึ้นราคาบ้าน 3-5% ต่อปีตามภาวะเงินฟ้อ เพื่อเป็นการผลักภาระไปให้แก่ผู้บริโภค ทำให้ Gross Margin ในอดีตทรงตัวที่ระดับ 34-36% มาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ภาวะน้ำมันเป็นขาลง ผู้ประกอบการมีพฤติกรรมไม่ปรับลดราคาขายบ้านลงตาม ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ Gross Margin ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 36% ขึ้นไป และส่งผลให้กำไรของกลุ่มปี 2558 ปรับเพิ่มขึ้นระดับ 1% นอกจากนั้น กลุ่มอสังหาฯ ยังได้รับประโยชน์ทางอ้อมในด้านการขนส่งวัสุดก่อสร้าง และค่าไฟฟ้าอีกด้วย

กลุ่มโรงแรม ต้นทุนค่าไฟฟ้าของกลุ่มโรงแรมคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3-6% ของรายได้ (โดย ERW ซึ่งมีธุรกิจโรงแรมคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 100% จะมีต้นทุนค่าไฟฟ้าสูงสุดประมาณ 6% ของรายได้ ส่วน MINT และ CENTEL มีธุรกิจหลากหลายมากกว่า โดยธุรกิจโรงแรมคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50% ของรายได้รวม มีต้นทุนค่าไฟ 3-4% ของรายได้) สำหรับต้นทุน Logistics คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% ของรายได้ ดังนั้น หากกำหนดให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลง 20% และค่าไฟลดลง 5% คาดส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มโรงแรม (โดยหลักมาจากกำไรของ MINT คิดเป็นสัดส่วน 74% ของกำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มฯ) เพิ่มขึ้นประมาณ 2% ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ทำให้สายการบินหลายแห่งทั้งใน และต่างประเทศ รวมถึงรถโดยสารในประเทศ ปรับลดราคาค่าโดยสารลง สร้าง Sentiment เชิงบวกต่อการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น น่าจะส่งผลทางอ้อมต่อธุรกิจโรงแรม

Ant eye view : แม้จะบวก Surprise แต่จังหวะกดลงช่วงปิดตลาดก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงกว่าไม่น้อย ก่อน ATC ดัชนีบวกอยู่ 7.38 จุด แต่พอตลาดปิดก็เหลือบวกแค่ 1.79 จุด

กลยุทธ์การลงทุน Investment Tactic : รอรับกลับอีกครั้งเมื่อดัชนีลงมาที่ 1,509-1,514 จุด โดยให้ใช้กลยุทธ์ Selective Buy ในหุ้นต่างๆ ต่อไปนี้

หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลอยตัว LPG : PTT

ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง : AAV, BA, RCL

หุ้นปันผลเด่น : จ่าย 1 ครั้ง AP, STPI จ่ายมากกว่า 1 ครั้ง INTUCH, SPALI, AIT, ADVANC

Portfolio Update : ADVANC, AIT, BA, ERW, STPI, INTUCH
กำลังโหลดความคิดเห็น