xs
xsm
sm
md
lg

IAA เผยน้ำมันที่ลดลงกระทบกำไร บจ. คาดเห็นการลงทุนชัดเจนใน Q2-Q3 (ชมคลิป)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นางภรณี ทองเย็น อุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน และรองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
อุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เผยราคาน้ำมันปรับตัวลดลงทำให้กระทบต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาด หากยังลดอีกต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลคาดจะเตรียมปรับประมาณการใหม่ ชี้เงินทุนต่างประเทศใหลเข้าไทยยังไม่ชัดเจนใน Q1/58 เพราะการเมืองยังไม่นิ่ง รอดูใน Q2-Q3



นางภรณี ทองเย็น อุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน และรองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กล่าวถึงผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์แนวโน้มการลงทุนและผลกระทบจากราคาน้ำมันปี 2558-2559 ว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้กำไรสุทธิต่อหุ้นของตลาด หรือ EPS อยู่ที่ร้อยละ 15 จากปัจจัยต่างประเทศที่มาจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดอยู่ที่ 66 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำให้แนวโน้มที่จะมีการปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนขึ้นมาใหม่หากราคาน้ำมันอยูที่ระดับต่ำ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
          
สำหรับราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงกว่าร้อยละ 50 จากราคาสูงสุดในปีที่ผ่านมา จะส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนของปีนี้ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน จะมีกำไรสุทธิลดลงจากประมาณครั้งก่อนเฉลี่ย 39,000 ล้านบาท ส่วนกลุ่มปิโตรเคมี คาดว่าจะมีกำไรสุทธิลดลง 4,900 ล้านบาท

“ฟันโฟลว์จากต่างประเทศยังไม่มีความชัดเจนในไตรมาสที่ 1 เหตุเพราะสถานการณ์การเมืองในประเทศยังไม่นิ่ง ประกาศกฎอัยการศึกยังอยู่ไม่ได้ยกเลิกไป อีกทั้งเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวอย่างเด่นชัด โดยคาดว่า ทิศทางการลงทุนจะมีความชัดเจนมากขึ้นในไตรมาสที่ 2-3 ซึ่งหากสหรัฐฯ มีนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ดี ก็จะทำให้เป็นแรงหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นมาเช่นกัน ทั้งนี้ หุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์ดีหากเงินทุนต่างประเทศไหลกลับเข้ามาคือ หุ้นกลุ่มธนาคาร และกลุ่มอสังหาฯ รายตัวที่มีผลประกอบดี”

ขณะที่แนวโน้มการลงทุนในไตรมาสที่ 1 คาดว่าจะมีการผันผวนค่อนข้างมาก เนื่องจากผลประกอบการในไตรมาสที่ 4/2557 ของหลายบริษัทที่ทยอยประกาศออกมาไม่สามารถสร้างรายได้ตามเป้าหมายตามที่วางไว้ อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และบรรยากาศการลงทุน อีกทั้งยังมีมาตรการสกัดหุ้นร้อนออกมา ทำให้นักลงทุนเกิดแรงเทขายออกมา ซึ่งทำให้ประมาณการวอลุ่มหายไปแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกที่คาดว่าจะกลับมาช่วยหนุนให้ตลาดมีการซื้อขายเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ การลงทุนในหุ้นปันผล เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนบางกลุ่มที่มีผลประกอบการกลับมาเป็นบวกมากขึ้น และมีการประกาศจ่ายเงินปันผลเป็นรายปีจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง โดยแนะนำนักลงทุนซื้อสะสมในหุ้น ADVANC, INTUCH, SPALI ช่วงที่มีราคาอ่อนตัวลง นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วนี้ สิ่งที่นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยจากต่างประเทศ ได้แก่ ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ที่อาจจะออกมาตรการ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง  
 


กำลังโหลดความคิดเห็น