สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ปรับลดเป้ากำไรสุทธิต่อหุ้น บจ. ปี 57 เหลือ 93.2 บาท หั่นเป้า SET Index ปีนี้ อยู่ที่ 1,670 จุด พร้อมปรับลดเป้า “จีดีพี” ปีนี้เหลือโตแค่ 3.8% จากเดิม 4.3% พร้อมแนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นปีนี้เป็น 46%
นางภรณี ทองเย็น อุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โดยมีการประเมิน SET Index สิ้นปี 2558 อยู่ที่เฉลี่ย 1,670 จุด ลดลงเล็กน้อยจากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ระดับ 1,698 จุด หรือลดลงประมาณ 1.6%
โดยปัจจัยเสี่ยงที่นักวิเคราะห์ให้ความสำคัญ คือ ปัจจัยต่างประเทศโดยเฉพาะการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และอังกฤษ มองว่าเศรษฐกิจโลกยังขยายตัวต่ำกว่าที่คาด ซึ่งภาคการส่งออกไทยก็ยังได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวดังกล่าว
ส่วนปัจจัยบวกที่ยังคงให้น้ำหนัก คือ ในเรื่องมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาล และการขยายตัวของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และมีปัจจัยใหม่ที่เข้ามาเพิ่มคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางยุโรปที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา
นอกจากนั้น ยังมองว่าราคาน้ำมันดิบโลกที่ลดลงกว่า 50% จากราคาสูงสุดในปีที่ผ่านมา จะส่งผลกระทบทางลบต่อผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี แต่จะส่งผลดีต่อบางกลุ่ม ได้แก่ ขนส่ง ค้าส่ง-ค้าปลีก และสถาบันการเงินรายย่อย ทำให้คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ปี 2558 เฉลี่ย 15% ใกล้เคียงครั้งก่อนที่ 14.1%
สมานักวิเคราะห์ฯ ยังได้แนะนำให้ลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 46% ของเงินลงทุนรวม ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 40% จากการสำรวจครั้งก่อนหน้า และได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้และกองทุนตราสารหนี้จาก 20% เหลือ 14% และปรับลดเงินสดและเงินฝากเหลือ 11% จาก 13% ในครั้งก่อน ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศยังคงใกล้เคียงกับประมาณการครั้งก่อนคือ 20.5% และทองคำ รวมถึง Gold Futures อยู่ที่ 6.5%
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ฯ ยังได้ปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) ของไทยในปี 2558 ลงเหลือ 3.8% จากเดิม 4.3% เนื่องจากเศรษฐกิจในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ฟื้นตัวช้ากว่าคาด ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะยืนอยู่ที่ 2% ตลอดปี 2558 จากประมาณการครั้งก่อนที่ 2.2%
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ฯ ยังมีข้อเสนอแนะให้แก่รัฐบาล และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุน โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ให้เป็นไปตามกำหนดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวล่าช้า 2.ดำเนินนโยบายการเงินอย่างเหมาะสม และ 3.แก้ปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจัง