นักลงทุนแห่งเก็งกำไรหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างรองรับโครงการเมกะโปรเจกต์ 3 ล้านล้านบาท หนุนดัชนีปิดที่ 1,581.27 จุด เพิ่มขึ้น 12.20 จุด มูลค่ารวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท นักวิเคราะห์เตือน “ระวัง” ผลการปรับลด GDP Growth และผลประกอบการ บจ.ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังไม่สนับสนุนการปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้ตลาดหุ้นตกอยู่ในภาวะเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็ก
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วันนี้ (18 พ.ย.) มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่คาดจะได้รับผลดีจากโครงการการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล โดยปรับตัวแตะระดับสูงสุดที่ 1,587.13 จุด ต่ำสุดที่ 1,571.37 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 1,581.27 จุด เพิ่มขึ้น 12.20 จุด เปลี่ยนแปลง 0.78 % มูลค่าการซื้อขายรวม 51,048.15 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถบันขายสุทธิ 671.85 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 984.59 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,428.40 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,741.14 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์หลักทรัพย์ที่มีมูลค่การซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ITD มูลค่า 1,991.81 ล้านบาท ราคาปิด 6.85 บาท PTT มูลค่า 1,812.41 ล้านบาท ราคาปิด 387.00 บาท GEL มูลค่า 1,699.78 ล้านบาท ราคาปิด 1.14 บาท PAF มูลค่า 1,511.04 ล้านบาท ราคาปิด 4.16 บาท และ CK มูลค่า 1,204.98 ล้านบาท ราคาปิด 27.50 บาท
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี สรุปภาพการซื้อขายวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยรีบาวนด์ตามตลาดภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับเพิ่มขึ้น หลังคาดว่าญี่ปุ่นจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีแผนเลือกตั้งครั้งใหม่ ประกอบกับมีแรงเก็งกำไรเข้ามาหุ้นขาดเล็ก และขนาดกลางอย่างต่อเนื่อง รวมถึงหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง รับข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ที่จะพิจารณาโครงการรถไฟรางคู่ 3 เส้นทาง ขณะที่วันนี้ (19 พ.ย.) ดัชนีน่าจะเคลื่อนไหวแคบๆ ลักษณะซึมรอดูเกณฑ์ควบคุมหุ้นเก็งกำไร
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คืนวันพรุ่งนี้ เพราะอาจมีความเห็นจากคณะกรรมการต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และอาจกดดันให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่ากำหนดได้ อีกทั้งในช่วงวันที่ 20 พ.ย.ติดตามตัวเลข PMI ภาคการผลิตทั้งของจีน, ยุโรป และสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศออกมา
พร้อมคาดการณ์วันนี้ ดัชนีน่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1,550-1,580 จุด เนื่องจากยังคงมีแรงเก็งกำไรในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ที่ขาดปัจจัยพื้นฐานจากข่าวตลาดหลักทรัพย์ฯ แนะนำให้ทยอยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้ม Outperform จากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนสถาบัน เช่น กลุ่ม ICT ธนาคาร และอสังหาฯ
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า การที่สภาพัฒนาการเศรษกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือ GDP Growth ปี 2557 ลงเหลือ 1% แต่ยังคงคาดการณ์ GDP Growth ปี 2558 ไว้ที่ 3.5-4.5% สอดคล้องต่อฝ่ายวิจัย ASP ที่คาดไว้ที่ 3.5% ประกอบกับการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3/57 ลดลงอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจยังไม่แข็งแกร่ง ไม่สนับสนุนการปรับขึ้นของดัชนีในระยะยาว
“การที่ดัชนีจะปรับเพิ่มขึ้นจากสภาพแวดล้อมในปัจจุบันจึงไม่ง่ายเลย แม้ระยะสั้นดัชนีอาจไม่ได้มีการปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากยังมีแรงซื้อ LTF ปลายปี และแรงซื้อของนักลงทุนรายบุคคลในประเทศ แต่ปัจจัยพื้นฐานที่ไม่เอื้ออำนวย ในขณะที่ตลาดอยู่ในสภาวะเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กถึงเล็กมากด้วยความร้อนแรง ความไม่เสถียรตรงนี้อาจทำให้ตลาดมีความผันผวนรุนแรง และอาจก่อความเสียหายแก่นักเก็งกำไรได้ นักลงทุนจึงควรระมัดระวังเป็นอย่างสูง” นายประกิต กล่าว
แม้ว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. จะมีมติเห็นชอบความร่วมมือไทย-จีน แบบ G to G ในการก่อสร้างรถไฟรางคู่สายหนองคาย-มาบตาพุด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแผนการจัดทำทางรถไฟใหม่ ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมของภูมิภาคเอเชีย แต่ก็ต้องมีการตั้งคณะกรรมการไปเจรจาในรายละเอียดกันอีกครั้ง โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2558 คาดว่าเป็นข่าวที่ประคองดัชนีให้กลับไปทดสอบ 1,590 จุดภายในสัปดาห์นี้
“กว่าเม็ดเงินงบประมาณจะลงมาถึงระดับปฏิบัติการก็น่าจะประมาณกลางปี 2558 ดังนั้น จะยังคงเห็นภาพดัชนีปรับฐานอีกหลายครั้ง เพราะระหว่างทางราคาหุ้นหลายตัวยังต้องแพงเกินปัจจัยพื้นฐาน จนกว่าจะได้เห็นการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม และมีการลงทุนภาคเอกชนตามมา ประชาชนถึงจะกล้าใช้จ่ายเงินอย่างจริงจังมากว่านี้” นายประกิต กล่าว
กลยุทธ์การลงทุน ยังเน้นขายหุ้นรายตัว และสลับมาซื้อหุ้นที่ลงลึกซึ่งมีแนวโน้มฟื้นตัวในไตรมาส 4/57 ต่อเนื่องถึงปีหน้า รวมถึงหุ้นที่มีโอกาสถูกเข้าคำนวณใน SET50 Index เลือก SPALI และ SET100 Index เลือก DEMCO
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วันนี้ (18 พ.ย.) มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่คาดจะได้รับผลดีจากโครงการการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล โดยปรับตัวแตะระดับสูงสุดที่ 1,587.13 จุด ต่ำสุดที่ 1,571.37 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 1,581.27 จุด เพิ่มขึ้น 12.20 จุด เปลี่ยนแปลง 0.78 % มูลค่าการซื้อขายรวม 51,048.15 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถบันขายสุทธิ 671.85 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 984.59 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,428.40 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,741.14 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์หลักทรัพย์ที่มีมูลค่การซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ITD มูลค่า 1,991.81 ล้านบาท ราคาปิด 6.85 บาท PTT มูลค่า 1,812.41 ล้านบาท ราคาปิด 387.00 บาท GEL มูลค่า 1,699.78 ล้านบาท ราคาปิด 1.14 บาท PAF มูลค่า 1,511.04 ล้านบาท ราคาปิด 4.16 บาท และ CK มูลค่า 1,204.98 ล้านบาท ราคาปิด 27.50 บาท
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี สรุปภาพการซื้อขายวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยรีบาวนด์ตามตลาดภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับเพิ่มขึ้น หลังคาดว่าญี่ปุ่นจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีแผนเลือกตั้งครั้งใหม่ ประกอบกับมีแรงเก็งกำไรเข้ามาหุ้นขาดเล็ก และขนาดกลางอย่างต่อเนื่อง รวมถึงหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง รับข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ที่จะพิจารณาโครงการรถไฟรางคู่ 3 เส้นทาง ขณะที่วันนี้ (19 พ.ย.) ดัชนีน่าจะเคลื่อนไหวแคบๆ ลักษณะซึมรอดูเกณฑ์ควบคุมหุ้นเก็งกำไร
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คืนวันพรุ่งนี้ เพราะอาจมีความเห็นจากคณะกรรมการต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และอาจกดดันให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่ากำหนดได้ อีกทั้งในช่วงวันที่ 20 พ.ย.ติดตามตัวเลข PMI ภาคการผลิตทั้งของจีน, ยุโรป และสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศออกมา
พร้อมคาดการณ์วันนี้ ดัชนีน่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1,550-1,580 จุด เนื่องจากยังคงมีแรงเก็งกำไรในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ที่ขาดปัจจัยพื้นฐานจากข่าวตลาดหลักทรัพย์ฯ แนะนำให้ทยอยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้ม Outperform จากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนสถาบัน เช่น กลุ่ม ICT ธนาคาร และอสังหาฯ
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า การที่สภาพัฒนาการเศรษกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือ GDP Growth ปี 2557 ลงเหลือ 1% แต่ยังคงคาดการณ์ GDP Growth ปี 2558 ไว้ที่ 3.5-4.5% สอดคล้องต่อฝ่ายวิจัย ASP ที่คาดไว้ที่ 3.5% ประกอบกับการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3/57 ลดลงอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจยังไม่แข็งแกร่ง ไม่สนับสนุนการปรับขึ้นของดัชนีในระยะยาว
“การที่ดัชนีจะปรับเพิ่มขึ้นจากสภาพแวดล้อมในปัจจุบันจึงไม่ง่ายเลย แม้ระยะสั้นดัชนีอาจไม่ได้มีการปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากยังมีแรงซื้อ LTF ปลายปี และแรงซื้อของนักลงทุนรายบุคคลในประเทศ แต่ปัจจัยพื้นฐานที่ไม่เอื้ออำนวย ในขณะที่ตลาดอยู่ในสภาวะเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กถึงเล็กมากด้วยความร้อนแรง ความไม่เสถียรตรงนี้อาจทำให้ตลาดมีความผันผวนรุนแรง และอาจก่อความเสียหายแก่นักเก็งกำไรได้ นักลงทุนจึงควรระมัดระวังเป็นอย่างสูง” นายประกิต กล่าว
แม้ว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. จะมีมติเห็นชอบความร่วมมือไทย-จีน แบบ G to G ในการก่อสร้างรถไฟรางคู่สายหนองคาย-มาบตาพุด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแผนการจัดทำทางรถไฟใหม่ ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมของภูมิภาคเอเชีย แต่ก็ต้องมีการตั้งคณะกรรมการไปเจรจาในรายละเอียดกันอีกครั้ง โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2558 คาดว่าเป็นข่าวที่ประคองดัชนีให้กลับไปทดสอบ 1,590 จุดภายในสัปดาห์นี้
“กว่าเม็ดเงินงบประมาณจะลงมาถึงระดับปฏิบัติการก็น่าจะประมาณกลางปี 2558 ดังนั้น จะยังคงเห็นภาพดัชนีปรับฐานอีกหลายครั้ง เพราะระหว่างทางราคาหุ้นหลายตัวยังต้องแพงเกินปัจจัยพื้นฐาน จนกว่าจะได้เห็นการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม และมีการลงทุนภาคเอกชนตามมา ประชาชนถึงจะกล้าใช้จ่ายเงินอย่างจริงจังมากว่านี้” นายประกิต กล่าว
กลยุทธ์การลงทุน ยังเน้นขายหุ้นรายตัว และสลับมาซื้อหุ้นที่ลงลึกซึ่งมีแนวโน้มฟื้นตัวในไตรมาส 4/57 ต่อเนื่องถึงปีหน้า รวมถึงหุ้นที่มีโอกาสถูกเข้าคำนวณใน SET50 Index เลือก SPALI และ SET100 Index เลือก DEMCO