วานนี้สภาพัฒน์รายงาน GDP Growth งวด 3Q57 ของไทย ขยายตัวเพียง 0.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ต่ำกว่าที่ฝ่ายวิจัย ASP และตลาดคาดไว้ที่ 1% โดยเป็นผลมาจากการส่งออก (70% ของ GDP) หดตัว 1.7% ภาพรวม แม้เศรษฐกิจไตรมาส 3 จะขยายตัวได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็ยังมีพัฒนาการที่มีมากขึ้นเมื่อเทียบกับ 2Q57 และ 1Q57 โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนในไตรมาส 3 ที่ขยายตัว 2.2% เทียบกับที่ขยายตัว 0.2% และหดตัว 3.0% ไตรมาส 2 และ 1 ตามลำดับ ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนในไตรมาส 3 กลับมาขยายตัว 3.9% หลังจากหดตัวติดต่อกัน 4 ไตรมาสก่อนหน้านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวของภาคอุปสงค์ในประเทศ โดยสภาพัฒน์ได้ทำการปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ปี 2557 ลงเหลือ 1% แต่ยังคงคาดการณ์ GDP Growth ปี 2558 ไว้ที่ 3.5-4.5% สอดคล้องกับฝ่ายวิจัย ASP ที่คาดไว้ที่ 3.5%
GDP Growth งวด 3Q57 ออกมาค่อนข้างน้อยแค่ 0.6% ขณะที่ GDP ครึ่งปีแรกติดลบ 0.1% ทำให้ภาระที่จะทำให้ GDP Growth ทั้งปีโตตามเป้าต้องตกไปอยู่ที่งวด 4Q57 ซึ่งหากจะทำให้ GDP Growth ปี 2557 โต 1.5% ไตรมาส 4 ต้องขยายตัวกว่า 5.5% ซึ่งมันเป็นไปได้ยากถึงยากมาก และแม้จะไปใช้เป้าหมายใหม่ที่สภาพัฒน์เพิ่งจะปรับเป้าลงมา ปี 2557 เหลือโต 1% ก็ต้องหวังให้งวดไตรมาส 4 ต้องโตกว่า 3.5% ก็ต้องบอกว่าภายใต้สภาวะเศรษฐกิจบนกฎหมายพิเศษแบบตอนนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ที่จะให้เป็นไปตามที่สภาพัฒน์คาดการณ์
นอกจากประเด็น GDP Growth ที่น่าห่วงแล้ว ประเด็นผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน ล่าสุด หลังจากที่บริษัทต่างๆ รายงานงบในงวด 3Q57 ออกมาจะพบว่า ตลาดมีกำไรสุทธิรวมแค่ 1.92 แสนล้านบาท ถือว่าน้อยกว่าคาดมากลดลง 6.3% YoY ทำให้งวด 9M57 มีกำไรสุทธิรวมเป็น 6.1 แสนล้านบาท โตเล้กน้อยเพียง 0.43% โดยที่สัดส่วนกำไรงวด 9M97 ทำได้เพียง 68.23% ของประมาณกำไรสุทธิทั้งปีที่ทำไว้เดิม ทำให้ฝ่ายวิจัยต้องมีการปรับประมาณการกำไรสุทธิตลาดลงมาเหลือ 8.40 แสนล้านบาท (ลดลงจากเดิม 3.38 หมื่นล้านบาท) คิดเป็น EPS 92.83 บาทต่อหุ้น โตเพียง 1.49% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยในไตรมาส 4Q57 กำไรสุทธิในตลาดต้องสูงถึง 2.2 แสนล้านบาท ถึงจะทำให้กำไรสุทธิปี 2557 เป็นไปตามคาดที่ 8.4 แสนล้านบาท ทั้งนี้ ถ้าไปเทียบกับปีที่ผ่านๆ มาจะพบว่า ในไตรมาส 4 ของปี 2556 และ 2555 จะมีกำไรสุทธิรวมที่ 1.65 และ 1.63 แสนล้านบาท ตามลำดับ หากกำไรในงวด 4Q57 ออกมาที่ค่าเฉลี่ย 2 ปีทีผ่านมาที่ 1.64 แสนล้านบาท เท่ากับว่าปีนี้ EPS Growth จะเหลือพียงแค่ 0% หรือไม่โตเลย อย่างไรก็ตาม ปี 2558 แม้ฝ่ายวิจัยจะปรับลดประมาณการณ์เช่นเดียวกับปี 2557 แต่ฐานกำไรใหม่ก็ยังอยู่ที่ 9.71 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 107.30 บาท/หุ้น หรือเติบโต 15.59% YoY
การที่ดัชนีจะปรับเพิ่มขึ้นจากสภาพแวดล้อมในปัจจุบันจึงไม่ง่ายเลย แม้ระยะสั้นดัชนีอาจไม่ได้มีการปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากยังมีแรงซื้อ LTF ปลายปี และแรงซื้อของนักลงทุนรายบุคคลในประเทศ แต่ปัจจัยพื้นฐานที่ไม่เอื้ออำนวย ในขณะที่ตลาดอยู่ในสภาวะเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กถึงเล็กมากด้วยความร้อนแรง ความไม่เสถียรตรงนี้อาจทำให้ตลาดมีความผันผวนรุนแรง และอาจก่อความเสียหายแก่นักเก็งกำไรได้ นักลงทุนจึงควรระมัดระวังเป็นอย่างสูง
ที่มาของดีล WHA ประกาศทำ Tender Offer หุ้น HEMRAJ ที่ราคา 4.50 บาท/หุ้น เริ่มจากการที่กลุ่มคุณสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง HEMRAJ ต้องการจะวางมือทางธุรกิจ จึงมีการเจรจาให้ผู้บริหาร WHA เข้ามาบริหารต่อ ซึ่งก่อนหน้านี้ WHA ได้มีการเซ็น MOU เพื่อเข้าซื้อหุ้น HEMRAJ ของทางผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสัดส่วน 22.53% ของหุ้นที่ออก และจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดในราคาหุ้นละ 4.50 บาท พร้อมประกาศทำ Tender Offer ภายใต้เงื่อนไขว่า หลังทำกระบวนการเสนอซื้อแล้ว WHAจะต้องมีผู้ขายหุ้นเกินกว่า 50% หากรวบรวมหุ้นได้ไม่ถึง 50% จะยกเลิกการซื้อหุ้นทั้งหมด โดยแหล่งเงินทุนที่ WHA จะใช้ซื้อกิจการมาจากการเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ไม่เกิน 8.8 พันล้านบาท (ปัจจุบันหุ้นจดทะเบียนของ WHA อยู่ที่ 963.89 ล้านหุ้น พาร์ 1 บาท)
ส่วนที่เหลือได้รับการสนับสนุนเงินกู้ยืมจากทาง SCB และเมื่อ WHA เข้าซื้อกิจการสำเร็จ จะมีแผนขายสินทรัพย์ต่างๆ ของ HEMRAJ เข้า REIT ไม่ว่าจะเป็นโรงงาน/คลังสินค้าให้เช่า อาคารสำนักงาน UM Tower รวมถึงที่ดินบนเกาะล้าน เพื่อลดหนี้สินต่อทุน และอาจมีการจ่ายเงินปันผลพิเศษในอนาคต ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าของทั้ง 2 บริษัทพบว่า HEMRAJ ยังถูกกว่า WHA ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นค่า PER อยู่ที่ 9 เท่า เทียบกับ WHA ที่ 28 เท่า และ PBV 2.9 เท่า เทียบกับ WHA ที่ 10.7 เท่า (ใช้งบการเงิน 4 ไตรมาสย้อนหลังในการคำนวณ) สำหรับกรอบเวลาในการดำเนินงาน คาดว่า WHA จะเซ็น MOU กับผู้ถือหุ้น HEMRAJ ปลายเดือน ธ.ค.2557 ตามด้วยการเพิ่มทุนของ WHA ในเดือน ก.พ.2558 และทำคำเสนอซื้อในเดือน มี.ค.2558
การกำหนดแผนการเพิ่มทุนของ WHA ก่อนการเปิดเสนอซื้อ เป็นการสะท้อนถึงความมั่นใจของผู้บริหาร WHA ว่า Deal นี้น่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และหากเกิดขึ้นตามความคาดหมายผลที่เกิดขึ้นในส่วนของ WHA เมื่อมีการทำงบการเงินรวมกับ HEMRAJ จะทำให้มีฐานกำไรใหญ่ขึ้น และส่งผลต่อเนื่องทำให้ค่า PER ลดต่ำลง (ต้องพิจารณาอัตราส่วนการเพิ่มทุนที่จะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ.2558 ด้วย) มีโอกาสให้ราคาสูงขึ้น ซึ่งดูเหมือนว่าราคาหุ้นจะปรับขึ้นสนองข่าวนี้ไปแล้วบางส่วน
สำหรับ HEMRAJ หลังรายการซื้อกิจการจบลง HEMRAJ ยังคงสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป และหากมีการดำเนินการขายสินทรัพย์ออกไปตามแผน ก็น่าจะทำให้บริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินสูง และอาจมีการบันทึกกำไรจากการขายสินทรัพย์ออกมา ทั้งนี้ ราคาหุ้น HEMRAJ ในช่วงที่ผ่านมายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก ในระยะสั้นควรขึ้นไปที่ราคาเสนอซื้อ 4.50 บาท หลังจากรายการซื้อขายจบ ก็อาจเห็นการปรับตัวขึ้นไปต่อได้ จึงน่าสนใจสำหรับการลงทุน
Ant eye view : SET Index ลงมาปิดเฉียดๆ แนวรับสำคัญที่วางเอาไว้วานนี้ 1,568 จุด ดูตามรูปด้านบนแล้ว ใครรู้สึกดีบ้างช่วยบอกที ดัชนีถูกกดลงมาตามแนว Parallel เอียงลง บอกตามตรงเลยว่า ไม่ชอบอย่างแรง เพราะเท่ากับระดับ Top กำลังถูกกดลงมาเรื่อยๆ และการปรับลงวานนี้ก็เป็นการยืนยันอิทธิพลของแนวต้านจากกรอบ Parallel Line หากวันนี้ SET ลงต่ำกว่า 1,568 จุด สงสัยจะเหนื่อยแน่ๆ
ตอนนี้ต้องหวังพึ่งพาแนว 1,568 จุด ถ้าดัชนีลงต่ำกว่าระดับนี้งานจะยากขึ้นมากๆ ดัชนีคงซึมลงยาว แต่หากวันนี้สามารถเปิดบวก และประคองตัวให้อยู่เหนือ 1,568-1,570 จุด โอกาสที่ดัชนีจะกลับไปทดสอบ 1,580 จุดภายในสัปดาห์นี้ก็จะมีสูง (ทั้งนี้ จากฐานข้อมูลล่าสุด หากดัชนีลงต่ำกว่า 1,568 จุด MACD จะถูกดึงลงต่ำกว่า Signal Line)
กลยุทธ์การลงทุน Investment Tactic :
■ สภาพแวดล้อมเป็นไปในทิศทางลบไม่ว่าจะเป็นการปรับลด GDP และ EPS Growth จึงยังเน้นขายหุ้นรายตัว และสลับมาซื้อหุ้นที่ลงลึก ซึ่งมีแนวโน้มฟื้นตัว งวด 4Q57 และปีหน้า เลือกตัวเด่น AP, STPI, PTTGC, ADVANC, ERW
■ หุ้นที่มีโอกาสถูกเข้าคำนวณใน SET50 Index เลือก SPALI และ SET100 Index เลือก DEMCO
■ Portfolio Update : ADVANC, AP, ERW, PTT, RS, SCB, STPI, SRICHA, INTUCH
พูดคุยสอบถามกับผมได้ที่
https://m.facebook.com/prakitsiriwattanaket?ref=bookmark
ประกิต สิริวัฒนเกตุ
Prakit Siriwattanaket
Strategist and Technical Analyst
ASIA PLUS SECURITIES PUBLIC CO LTD
prakit@asiaplus.co.th
GDP Growth งวด 3Q57 ออกมาค่อนข้างน้อยแค่ 0.6% ขณะที่ GDP ครึ่งปีแรกติดลบ 0.1% ทำให้ภาระที่จะทำให้ GDP Growth ทั้งปีโตตามเป้าต้องตกไปอยู่ที่งวด 4Q57 ซึ่งหากจะทำให้ GDP Growth ปี 2557 โต 1.5% ไตรมาส 4 ต้องขยายตัวกว่า 5.5% ซึ่งมันเป็นไปได้ยากถึงยากมาก และแม้จะไปใช้เป้าหมายใหม่ที่สภาพัฒน์เพิ่งจะปรับเป้าลงมา ปี 2557 เหลือโต 1% ก็ต้องหวังให้งวดไตรมาส 4 ต้องโตกว่า 3.5% ก็ต้องบอกว่าภายใต้สภาวะเศรษฐกิจบนกฎหมายพิเศษแบบตอนนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ที่จะให้เป็นไปตามที่สภาพัฒน์คาดการณ์
นอกจากประเด็น GDP Growth ที่น่าห่วงแล้ว ประเด็นผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน ล่าสุด หลังจากที่บริษัทต่างๆ รายงานงบในงวด 3Q57 ออกมาจะพบว่า ตลาดมีกำไรสุทธิรวมแค่ 1.92 แสนล้านบาท ถือว่าน้อยกว่าคาดมากลดลง 6.3% YoY ทำให้งวด 9M57 มีกำไรสุทธิรวมเป็น 6.1 แสนล้านบาท โตเล้กน้อยเพียง 0.43% โดยที่สัดส่วนกำไรงวด 9M97 ทำได้เพียง 68.23% ของประมาณกำไรสุทธิทั้งปีที่ทำไว้เดิม ทำให้ฝ่ายวิจัยต้องมีการปรับประมาณการกำไรสุทธิตลาดลงมาเหลือ 8.40 แสนล้านบาท (ลดลงจากเดิม 3.38 หมื่นล้านบาท) คิดเป็น EPS 92.83 บาทต่อหุ้น โตเพียง 1.49% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยในไตรมาส 4Q57 กำไรสุทธิในตลาดต้องสูงถึง 2.2 แสนล้านบาท ถึงจะทำให้กำไรสุทธิปี 2557 เป็นไปตามคาดที่ 8.4 แสนล้านบาท ทั้งนี้ ถ้าไปเทียบกับปีที่ผ่านๆ มาจะพบว่า ในไตรมาส 4 ของปี 2556 และ 2555 จะมีกำไรสุทธิรวมที่ 1.65 และ 1.63 แสนล้านบาท ตามลำดับ หากกำไรในงวด 4Q57 ออกมาที่ค่าเฉลี่ย 2 ปีทีผ่านมาที่ 1.64 แสนล้านบาท เท่ากับว่าปีนี้ EPS Growth จะเหลือพียงแค่ 0% หรือไม่โตเลย อย่างไรก็ตาม ปี 2558 แม้ฝ่ายวิจัยจะปรับลดประมาณการณ์เช่นเดียวกับปี 2557 แต่ฐานกำไรใหม่ก็ยังอยู่ที่ 9.71 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 107.30 บาท/หุ้น หรือเติบโต 15.59% YoY
การที่ดัชนีจะปรับเพิ่มขึ้นจากสภาพแวดล้อมในปัจจุบันจึงไม่ง่ายเลย แม้ระยะสั้นดัชนีอาจไม่ได้มีการปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากยังมีแรงซื้อ LTF ปลายปี และแรงซื้อของนักลงทุนรายบุคคลในประเทศ แต่ปัจจัยพื้นฐานที่ไม่เอื้ออำนวย ในขณะที่ตลาดอยู่ในสภาวะเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กถึงเล็กมากด้วยความร้อนแรง ความไม่เสถียรตรงนี้อาจทำให้ตลาดมีความผันผวนรุนแรง และอาจก่อความเสียหายแก่นักเก็งกำไรได้ นักลงทุนจึงควรระมัดระวังเป็นอย่างสูง
ที่มาของดีล WHA ประกาศทำ Tender Offer หุ้น HEMRAJ ที่ราคา 4.50 บาท/หุ้น เริ่มจากการที่กลุ่มคุณสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง HEMRAJ ต้องการจะวางมือทางธุรกิจ จึงมีการเจรจาให้ผู้บริหาร WHA เข้ามาบริหารต่อ ซึ่งก่อนหน้านี้ WHA ได้มีการเซ็น MOU เพื่อเข้าซื้อหุ้น HEMRAJ ของทางผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสัดส่วน 22.53% ของหุ้นที่ออก และจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดในราคาหุ้นละ 4.50 บาท พร้อมประกาศทำ Tender Offer ภายใต้เงื่อนไขว่า หลังทำกระบวนการเสนอซื้อแล้ว WHAจะต้องมีผู้ขายหุ้นเกินกว่า 50% หากรวบรวมหุ้นได้ไม่ถึง 50% จะยกเลิกการซื้อหุ้นทั้งหมด โดยแหล่งเงินทุนที่ WHA จะใช้ซื้อกิจการมาจากการเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ไม่เกิน 8.8 พันล้านบาท (ปัจจุบันหุ้นจดทะเบียนของ WHA อยู่ที่ 963.89 ล้านหุ้น พาร์ 1 บาท)
ส่วนที่เหลือได้รับการสนับสนุนเงินกู้ยืมจากทาง SCB และเมื่อ WHA เข้าซื้อกิจการสำเร็จ จะมีแผนขายสินทรัพย์ต่างๆ ของ HEMRAJ เข้า REIT ไม่ว่าจะเป็นโรงงาน/คลังสินค้าให้เช่า อาคารสำนักงาน UM Tower รวมถึงที่ดินบนเกาะล้าน เพื่อลดหนี้สินต่อทุน และอาจมีการจ่ายเงินปันผลพิเศษในอนาคต ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าของทั้ง 2 บริษัทพบว่า HEMRAJ ยังถูกกว่า WHA ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นค่า PER อยู่ที่ 9 เท่า เทียบกับ WHA ที่ 28 เท่า และ PBV 2.9 เท่า เทียบกับ WHA ที่ 10.7 เท่า (ใช้งบการเงิน 4 ไตรมาสย้อนหลังในการคำนวณ) สำหรับกรอบเวลาในการดำเนินงาน คาดว่า WHA จะเซ็น MOU กับผู้ถือหุ้น HEMRAJ ปลายเดือน ธ.ค.2557 ตามด้วยการเพิ่มทุนของ WHA ในเดือน ก.พ.2558 และทำคำเสนอซื้อในเดือน มี.ค.2558
การกำหนดแผนการเพิ่มทุนของ WHA ก่อนการเปิดเสนอซื้อ เป็นการสะท้อนถึงความมั่นใจของผู้บริหาร WHA ว่า Deal นี้น่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และหากเกิดขึ้นตามความคาดหมายผลที่เกิดขึ้นในส่วนของ WHA เมื่อมีการทำงบการเงินรวมกับ HEMRAJ จะทำให้มีฐานกำไรใหญ่ขึ้น และส่งผลต่อเนื่องทำให้ค่า PER ลดต่ำลง (ต้องพิจารณาอัตราส่วนการเพิ่มทุนที่จะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ.2558 ด้วย) มีโอกาสให้ราคาสูงขึ้น ซึ่งดูเหมือนว่าราคาหุ้นจะปรับขึ้นสนองข่าวนี้ไปแล้วบางส่วน
สำหรับ HEMRAJ หลังรายการซื้อกิจการจบลง HEMRAJ ยังคงสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป และหากมีการดำเนินการขายสินทรัพย์ออกไปตามแผน ก็น่าจะทำให้บริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินสูง และอาจมีการบันทึกกำไรจากการขายสินทรัพย์ออกมา ทั้งนี้ ราคาหุ้น HEMRAJ ในช่วงที่ผ่านมายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก ในระยะสั้นควรขึ้นไปที่ราคาเสนอซื้อ 4.50 บาท หลังจากรายการซื้อขายจบ ก็อาจเห็นการปรับตัวขึ้นไปต่อได้ จึงน่าสนใจสำหรับการลงทุน
Ant eye view : SET Index ลงมาปิดเฉียดๆ แนวรับสำคัญที่วางเอาไว้วานนี้ 1,568 จุด ดูตามรูปด้านบนแล้ว ใครรู้สึกดีบ้างช่วยบอกที ดัชนีถูกกดลงมาตามแนว Parallel เอียงลง บอกตามตรงเลยว่า ไม่ชอบอย่างแรง เพราะเท่ากับระดับ Top กำลังถูกกดลงมาเรื่อยๆ และการปรับลงวานนี้ก็เป็นการยืนยันอิทธิพลของแนวต้านจากกรอบ Parallel Line หากวันนี้ SET ลงต่ำกว่า 1,568 จุด สงสัยจะเหนื่อยแน่ๆ
ตอนนี้ต้องหวังพึ่งพาแนว 1,568 จุด ถ้าดัชนีลงต่ำกว่าระดับนี้งานจะยากขึ้นมากๆ ดัชนีคงซึมลงยาว แต่หากวันนี้สามารถเปิดบวก และประคองตัวให้อยู่เหนือ 1,568-1,570 จุด โอกาสที่ดัชนีจะกลับไปทดสอบ 1,580 จุดภายในสัปดาห์นี้ก็จะมีสูง (ทั้งนี้ จากฐานข้อมูลล่าสุด หากดัชนีลงต่ำกว่า 1,568 จุด MACD จะถูกดึงลงต่ำกว่า Signal Line)
กลยุทธ์การลงทุน Investment Tactic :
■ สภาพแวดล้อมเป็นไปในทิศทางลบไม่ว่าจะเป็นการปรับลด GDP และ EPS Growth จึงยังเน้นขายหุ้นรายตัว และสลับมาซื้อหุ้นที่ลงลึก ซึ่งมีแนวโน้มฟื้นตัว งวด 4Q57 และปีหน้า เลือกตัวเด่น AP, STPI, PTTGC, ADVANC, ERW
■ หุ้นที่มีโอกาสถูกเข้าคำนวณใน SET50 Index เลือก SPALI และ SET100 Index เลือก DEMCO
■ Portfolio Update : ADVANC, AP, ERW, PTT, RS, SCB, STPI, SRICHA, INTUCH
พูดคุยสอบถามกับผมได้ที่
https://m.facebook.com/prakitsiriwattanaket?ref=bookmark
ประกิต สิริวัฒนเกตุ
Prakit Siriwattanaket
Strategist and Technical Analyst
ASIA PLUS SECURITIES PUBLIC CO LTD
prakit@asiaplus.co.th