มิตซูบิชิ เอสเตท เผยแผนลงทุนอนาคตเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเอเชีย หลังตลาดสหรัฐฯ -อังกฤษ เริ่มอิ่มตัว ยันร่วมทุน AP ระยะยาว แจงปี 58 จับมือผุดอีก 4 โครงการ มูลค่า 10,000 ล้านบาท แย้มอนาคตอาจขยายสู่ธุรกิจอื่นขึ้นกับความพร้อม ด้าน AP แจงยอดขาย 9 เดือน 14,000 ล้านบาท จากเป้า 21,000 ล้านบาท ด้านยอดรับรู้รายได้ครึ่งปี 11,000 ล้านบาท จากเป้า 23,000 ล้านบาท มั่นใจสิ้นปีได้ตามเป้า
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์การตลาด บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 ค่อนข้างชะลอตัวเนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้เกิดการชะลอการพัฒนาโครงการใหม่ และปัญหาการขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อสภาพเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม หลังไตรมาส 2 เป็นต้นมาภาพรวมตลาดเริ่มปรับตัวดีขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจหลังจากปัจจัยลบจากปัญหาการเมืองคลี่คลาย
ทั้งนี้ หากสถานการณ์ตลาดมีแนวโน้มและทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง เชื่อว่าจะทำให้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ตลาดจะกลับมาขยายตัวได้ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ไม่ได้อยู่ในช่วงที่มีการขยายตัวเต็มที่แล้ว ดังนั้น ในปี 2558 คาดว่า จะเป็นปีที่ตลาดสามารถกลับมาขยายตัวเต็มที่ หากแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดยังต่อเนื่องจากปีนี้
ด้านนาย โชจิโร่ โคจิม่า กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท มิตซูมิชิ เอสเตท เอเซีย หรือ MEA ในเครือ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ผู้ร่วมทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมกับ AP กล่าวว่า MEA จะมีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านั้นเน้นกระจายการลงทุนในกลุ่มประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทมีการกระจายการลงทุนในประเทศเอเชีย เช่น สิงคโปร์ เวียดนาม จีน และไทย ซึ่งทั้งหมดนี้มีแชร์การลงทุนรวมของเครือมิตซูบิชิประมาณ 10%
ส่วนการลงทุนในประเทศไทยนั้น ยังคงสัดส่วนการลงทุนเท่าๆ กับปี 2557 นี้ โดยคาดว่าจะมีการลงทุนโครงการใหม่ประมาณ 3-4 โครงการคิดเป็นมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาทเศษ ทั้งนี้ การร่วมทุนกับ AP บริษัทมองเป็นการลงทุนระยะยาว และคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้แนวโน้มตลาดอสังหาฯ จะขยายตัวได้ดีภายหลังจากหมดปัจจัยลบจากปัญหาการเมือง ขณะที่เศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของประเทศไทยก็เริ่มฟื้นตัวกลับมาแล้ว
“อนาคตการลงทุนในประเทศไทย อาจจะมีการขยายการลงทุนไปในธุรกิจอื่นๆ เช่น ออฟฟิศเช่า หรือ คอมเมอร์เชียล และศูนย์การค้าครบวงจร ซึ่งต้องรอดูในอนาคตว่าทั้ง 2 บริษัทจะมีทิศทางการร่วมทุนกันอย่างไร”
นายวิทการ กล่าวว่า สำหรับการร่วมทุนของทั้ง 2 บริษัท ปีนี้มีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาทเศษ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ได้เปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมไปแล้ว 3 โครงการใน 3 ทำเล มูลค่ารวม 7,500 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันสามารถสร้างยอดขายแล้ว 4,200 ล้านบาท ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวโครงการร่วมทุนคอนโดมิเนียม Aspire ท่าพระ-สาทร คอนโดสูง 30 ชั้น จำนวน 1,219 ยูนิต มูลค่ารวม 3,300 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนที่มีมูลค่าสูงที่สุดใน 4 โครงการที่มีการเปิดตัวไปแล้ว โดยคาดว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถสร้างยอดขายได้ 40% ในสิ้นปีนี้หรือมียอดขายกว่า 1,320 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายแล้ว 14,000 ล้านบาท จากเป้ารวม 21,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดรับรายได้ทั้งปีตั้งเป้าที่ 23,000 ล้านบาท โดยขณะนี้มียอดรับรู้เข้ามา 11,000 ล้านบาท และจะรับรู้รายได้จากสต๊อกยอดขายที่รอรับรู้รายได้จากคอนโด 5,900 ล้านบาท และมาจากโครงการแนวราบ 5,200 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอน