พีทีจี เอ็นเนอยี ผู้ให้บริการสถานีบริการน้ำมัน “พีที” ตั้งใจจริง คืนประโยชน์สู่สังคมผ่านมูลนิธิพระดาบส กางแผนโรดแมป 5 ปี สร้างโอกาสทางอาชีพแก่ผู้ขาดโอกาสทางการศึกษา เดินหน้าปี 57 มอบชุดอุปกรณ์การเรียนการสอน พร้อมเชิญชวนคนไทยร่วมแคมเปญดีๆ เพียงเติมน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมันพีที ทุก 5 สตางค์ต่อลิตร ให้โอกาส...สร้างอาชีพให้คน ตั้งแต่วันนี้ -30 กันยายน ศกนี้
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ผู้ประกอบธุรกิจค้าน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูปคุณภาพสูง และผู้ให้บริการสถานีบริการน้ำมัน “พีที” เปิดเผยว่า “ผมเป็นคนที่รักการอ่านมาตั้งแต่เด็กเมื่อเติบโตขึ้นจึงตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา จนถึงวันหนึ่งเมื่อธุรกิจประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว ผมจึงมีความคิดที่จะแบ่งปันและสร้างประโยชน์คืนแก่สังคม โดยเมื่อพิจารณาจากสภาพสังคมปัจจุบัน พบว่ามีเยาวชนและผู้คนจำนวนมากที่ยังขาดโอกาสทางการศึกษา ซึ่งผมมองว่า การได้รับโอกาสเป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ และคนเราทุกคนควรเรียนรู้ที่จะเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับในเวลาเดียวกัน”
ทั้งหมดนี้ จึงเป็นที่มาของของการเปิดตัวโครงการ “พีที เติมพลังสัมมาชีพ” เมื่อปี 2556 ที่ผ่านมา โดยริเริ่มโครงการสนับสนุนทุนการศึกษาแก่ผู้ที่มีความตั้งใจจริงที่จะเล่าเรียน แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ผ่านมูลนิธิพระดาบส นับเป็นโครงการที่ผมรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถสร้างบุคลากรจนจบหลักสูตร นำความรู้ไปประกอบสัมมาชีพได้จริง และเป็นกำลังในการพัฒนาชาติ จำนวน 150 คน แยกตามสาขาวิชา ดังนี้ ช่างยนต์ 20 คน ช่างไฟฟ้า 25 คน ช่างอิเล็กทรอนิกส์ 20 คน ช่างซ่อมบำรุง 20 คน ช่างเชื่อม 15 คน ช่างไม้เครื่องเรือน 10 คน การเกษตรพอเพียง 20 คน และเคหบริบาล 20 คน จากความสำเร็จดังกล่าว เราจึงสานต่อโครงการ “พีที เติมพลังสัมมาชีพ ปีที่ 2” อย่างเป็นทางการ โดยปีนี้ แผนดำเนินกิจกรรมจะเน้นสนับสนุนด้านเครื่องมือและอุปกรณ์การเรียนการสอน ที่มูลนิธิพระดาบสมีความประสงค์เพื่อใช้ในหลักสูตร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่จำเป็นต่อการทำงานในแต่ละสาขาอาชีพ เช่น ช่างเชื่อม ควรมีเครื่องเชื่อม หน้ากากเชื่อม ที่มีคุณภาพเหมาะสมในการใช้งาน ช่างไม้ควรมีเครื่องมือ เช่น เลื่อย กบ สิ่ว ฯลฯ ที่มีความแข็งแรงทนทานอายุการใช้งานยาวนาน
นายพิทักษ์ กล่าวอีกว่า ยิ่งกว่านั้นพีทียังสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้คนในสังคม โดยการเติมน้ำมันทุก 5 สตางค์ต่อลิตร ตั้งแต่วันนี้ -30 กันยายน 2557 จะสมทบทุนมอบแก่มูลนิธิพระดาบส ส่วนแผนดำเนินการในปีที่ 3 ตั้งใจว่า เมื่อศิษย์พระดาบสจบหลักสูตรแล้วผมอยากสร้างอาชีพให้ ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาหลักเกณฑ์และขั้นตอนต่างๆ ในการสนับสนุนเงินลงทุนตั้งต้นเพื่อนำไปประกอบสัมมาชีพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สร้างรายได้เลี้ยงดูครอบครัวต่อไป
ดร.สมยศ เจตน์เจริญรักษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนพระดาบส ถ่ายทอดถึงความรู้สึกที่มีต่อโครงการพีที เติมพลังสัมมาชีพว่า ได้สนับสนุนและสะท้อนผลงานของศิษย์พระดาบสให้เข้าถึงสังคม ให้ทุกคนได้ตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงพระราชทานกระแสดำริให้จัดตั้งโรงเรียนพระดาบสขึ้นเพื่อช่วยผู้ด้อยโอกาส ซึ่งจากการที่พีทีเข้ามาให้การสนับสนุนในระยะยาว โดยในปีแรกจากเงินเริ่มต้น 2 ล้านบาท และมียอดจากการจำหน่ายน้ำมันตลอด 3 เดือน ทำให้มียอดเงินสมทบเข้ามาในโครงการถึง 15 ล้านบาท ทำให้จำนวนเงินทูลเกล้าถวายสมเด็จพระเทพฯ รวมทั้งสิ้นที่มอบให้กับมูลนิธิพระดาบสเป็นจำนวน 17 ล้านบาท และสานต่อโครงการในปีนี้ จนถึงปี 2561 นั่นคือ การช่วยสร้างโอกาสทางอาชีพแก่ศิษย์พระดาบส ตลอดจนสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพป้อนสู่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของประเทศในระยะยาวต่อไป
สำหรับการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน ปัจจุบันโรงเรียนพระดาบสบริหารจัดการอย่างมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น มีการกำหนดผลสัมฤทธิ์ในการฝึกที่สอดคล้องกับงานในแต่ละสาขาอาชีพ มีการประเมินผลการฝึกที่ชัดเจนและเชื่อถือได้ สามารถสร้างผลงานออกมาเป็นที่ยอมรับและนำไปวางจำหน่ายเพื่อเปลี่ยนมาเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการจัดซื้อวัสดุมาใช้เพื่อการศึกษาต่อไปได้
“นอกจากการฝึกให้มีทักษะฝีมือทางช่างแล้ว โรงเรียนพระดาบสแห่งนี้ได้สอนให้นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ด้วยการฝึกวินัยความตรงต่อเวลา ให้ตื่นแต่เช้ามาทำหน้าที่ดูแลความสะอาดสถานที่เรียน ดูแลสวนผักที่ปลูกไว้ มีเวรทำอาหารเพื่อให้นักเรียนทุกคนทานครบทั้งสามมื้อ อีกทั้งพยายามให้เด็กได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมในชมรมต่างๆ อาทิเช่น ชมรมดนตรีไทย ชมรมนักประดิษฐ์ ชมรมมวยไทย และอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อฝึกให้รู้จักการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง รู้รักสามัคคี เข้าสังคมเป็น มีน้ำใจนักกีฬา สิ่งเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นที่ยอมรับต่อสังคมในวันข้างหน้าด้วย” ดร.สมยศ กล่าว