xs
xsm
sm
md
lg

ปรับหมากกลยุทธ์...บล.เอเซียพลัส

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายประกิต  สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเชียพลัส หรือ ASP
ปัจจัยลบในขนาดที่มีนัยสำคัญ ดูเหมือนว่ายังไม่เห็นที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในทางตรงข้าม ยังเห็นแรงซื้อสุทธิจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ กลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง องค์ประกอบดังกล่าวน่าจะทำให้ดัชนีราคาหุ้นไทยยังอาจเดินหน้าปรับตัวขึ้นต่อไปได้

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเชียพลัส หรือ ASP กล่าวว่า การแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องของเงินบาทในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมากว่า 0.34% เป็นผลจากการที่นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิทั้งในตลาดตราสารหนี้และตราสารทุน โดยในส่วนของตราสารหนี้ นักลงทุนต่างประเทศเข้าซื้อสุทธิต่อเนื่อง 11 วันติดต่อกัน กว่า 7.7 หมื่นล้านบาท ทำให้ยอดสะสมเดือน ก.ค. 57 สูงถึง 5.9 หมื่นล้านบาท ถือเป็นยอดซื้อรายเดือนที่มากที่สุดของปี 2557 ส่วนตราสารทุน นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิเพิ่มเข้าเมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2557 อีก 1.36 พันล้านบาท ถือเป็นการซื้อต่อเนื่อง 7 วันติดต่อกัน กว่า 1.27 หมื่นล้านบาท (ซื้อ 11 จาก 12 วันกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท) เป็นไปตามสถิติพฤติกรรมของนักลงทุนต่างประเทศที่ผู้เขียนนำเสนอไปเมื่อบทความฉบับที่แล้ว

จากเงื่อนไข หากนักลงทุนต่างประเทศเข้าซื้อสุทธิต่อเนื่อง 7 วันติดต่อกัน และยอดสะสม 12 วันก่อนหน้าเกิน 1.5 หมื่นล้านบาท ในทางสถิติพฤติกรรมของต่างชาติย้อนหลัง 20 ปี จะมีความน่าจะเป็นเกิน 84% ที่นักลงทุนต่างประเทศจะซื้อต่อ เนื่องในอีก 3-4 วันถัดไป เฉลี่ยวันละ 1.4 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน นั่นก็หมายความว่า นักลงทุนต่างชาติยังมีโอกาสที่จะเข้าซื้อต่อเนื่องในสัปดาห์หน้านั่นเอง ซึ่งหากสัปดาห์หน้านักลงทุนต่างชาติยังคงเข้าซื้อทั้งในตราสารหนี้และตราสารทุน คาดว่าน่าจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าลงต่ำกว่า 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปี การเคลื่อนไหวของ SET Index นับว่ามีความสัมพันธ์กับค่าเงินบาทค่อนข้างสูง คือ เกือบ 70% โดยเฉพาะในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าความสัมพันธ์พุ่งขึ้นไปกว่า 75% ซึ่งแนวโน้มของค่าเงินที่มีโอกาสจะแข็งค่าจนต่ำกว่า 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในทางสถิติจะเอื้อให้ SET Index มีโอกาสที่จะขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,545 จุด

แม้ว่าตลาดจะมี Momentum ของแรงซื้อจากต่างชาติเข้าหนุน แต่ในระยะสั้นอาจถูก Offset ด้วยแรงขายทำกำไรของนักลงทุนสถาบันในประเทศ โดยเฉพาะกอง Trigger Fund ที่น่าจะขายออกมาหลังจาก SET Index บวกขึ้นมากว่า 6% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ทำให้การกำหนดกลยุทธ์การลงทุน ก็ไม่ควรประมาท เพราะที่ระดับค่าพีอี ตลาดที่สูงเกิน 16 เท่า อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ แนะนำให้เข้าเก็งกำไรระยะสั้น แต่ต้องเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง เพื่อลดความเสี่ยง

สำหรับหุ้นแนะนำในเบื้องต้น ได้แก่ TTW (ประปาไทย) โดยเห็นว่าผลประกอบการไตรมาส 2/57 ยังเติบโตโดดเด่นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และยังเป็นหุ้นที่สามารถจ่ายปันผลได้ต่อเนื่อง โดยที่ราคาปัจจุบันมีระดับผลตอบแทนจากปันผล 5-6% ต่อปี มูลค่าพื้นฐานอยู่ที่ 13.30 บาท, อีกทางเลือกหนึ่ง ได้แก่ BECL (ทางด่วนกรุงเทพฯ) เนื่องจากคาดหมายว่า ผลประกอบการยังเติบโตอย่างต่อเนื่องในอัตราสูง นอกจากนี้ ยังให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 6% ต่อปี ส่วน TTCL (โตโยไทยฯ) แนะนำสะสมเพิ่มได้ต่อเนื่อง โดยเห็นว่าเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงต่อการปรับลดลงน้อย ขณะที่ราคามีโอกาสถูกขับเคลื่อนด้วยข่าวการเซ็นสัญญาโรงไฟฟ้าที่พม่า มูลค่าพื้นฐาน 42.68 บาท

BLAND (บางกอกแลนด์ฯ )การประกาศข่าวการขายสิ่ทธิการเช่าศูนย์แสดงสินค้าอิมแพค เข้ากองทุนทรัสต์อสังหาฯ หรือ รีท น่าจะทำให้บริษั่ทเหลือเม็ดเงินสุทธิเข้ามาสู่บริษัทประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะถูกจัดสรรสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ บนที่ดินของบริษัทที่มีหลายแปลง และการซื้อคืนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งผลการกระทำดังกล่าว น่าจะทำให้ราคาหุ้นปรับเข้าใกล้ มูลค่าทางบัญชีที่ 2.32 บาทได้

SYNTEC (ซินเท็คฯ ) การฟื้นตัวของตลาดคอนโดฯ ทำให้บริษัทสามารถรับงานเพิ่มได้อีก 3 พันล้านบาท ทำให้มูลค่างานก่อสร้างรอส่งมอบมีสูงกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท โดยที่มีค่าเฉลี่ยอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 12 - 15% นักวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรปี 2557 ขึ้น 15% ส่งผลทำให้มูลค่าหุ้นตามพื้นฐานปรับเพิ่มชึ้นเป็น 2.23 บาท

TTW (ประปาไทย) เป็นหุ้นที่มีจุดเด่น 2 ประการคือ การเติบโตของกำไรในช่วง 2 ปีข้างหน้า จากการรับส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมอย่าง CKP เข้ามา และประสิทธิภาพการทำกำไรของธุรกิจน้ำประปาที่ดีขึ้น อันเนื่องมาจากสิทธิประโยชน์ทางภาษี หลังเหตุน้ำท่วม, การปรับเพิ่มราคาขายน้ำประปาตามเงินเฟ้อ  นอกจากนี้ ในบางช่วงเวลาอย่างไตรมาส 2/57 ก็ยังสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ตามคุณภาพน้ำดื่มที่ดีขึ้น  จุดเด่นอีกประการหนึ่งคือ การจ่ายเงินปันผล ซึ่งที่ราคาปัจจุบันให้ผลตอบแทน 5-6% ต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี กำหนดมูลค่าพื้นฐานที่ 13.30 บาท

TTCL (โตโยไทยฯ) คาดว่าน่าจะมีการเซ็นสัญญาโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 1,280 เมกะวัตต์ มูลค่ากว่า 8.3 หมื่นล้านบาท กับรัฐบาลพม่าในงวดไตรมาส 3/57 ซึ่งจะทำให้ฐานธุรกิจของบริษัทใหญ่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ โครงสร้างรายได้ที่เปลี่ยนไปอยู่ในธุรกิจโรงไฟฟ้ามากขึ้น ก็น่าจะมีส่วนสำคัญที่สร้างความมั่นคงให้รายได้ในระยะยาว มูลค่าหุ้นทางพื้นฐานอยู่ที่  42.68 บาท ณ สิ้นปี 2557 และ เพิ่มเป็น 47.80 บาท ณ สิ้นปี 2558

BECL (ทางด่วนกรุงเทพ) แม้ปริมาณรถยนต์ที่ใช้ทางด่วนในงวดไตรมาส 2/57 จะลด 2.4% แต่ผลประกอบการของบริษัทลูก อย่างซึเคเพาเวอร์ และ ประปาไทย ก็โดดเด่นทำให้คาดว่ากำไรจะยังเติบโต 20% จากปีที่ผ่านมา สำหรับแนวโน้มในงวดครึ่งหลังของปี 2557 คาดว่ากำไรจะมีความโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง นอจากนี้ที่ระดับราคาหุ้นปัจจุบัน ยังให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 6% ต่อปี มูลค่าพื้นฐานอยู่ที่ 45 บาท
 
ประกิต สิริวัฒนเกตุ

Prakit Siriwattanaket

Strategist and Technical Analyst

ASIA PLUS SECURITIES PUBLIC CO LTD

email prakit@asiaplus.co.th
กำลังโหลดความคิดเห็น